สัมภาษณ์
ฉบับที่ 689 ปีที่ 29 ปักษ์หลัง เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2547
นัดพิเศษ: ชีวิตของ...ศ.ดร. สุนทร บุญญาธิการ... ภายใต้ชายคา... "บ้านพลังงานแสงอาทิตย์"
โดย ปิรันญ่า
ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมาคนไทย กลายเป็น "มนุษย์ห้องแอร์"ไปโดยปริยาย เพราะไม่สามารถจะทนรับมือกับอุณหภูมิกว่า 40 องศา เซลเซียส...ภายนอกได้
ยังไม่หายสะบักสะบอมจากสภาพอากาศที่ "กระหน่ำซัมเมอร์เซล" อย่างหนัก ก็ต้องมาเจอมรสุม น้ำมันขึ้นราคาอีกระลอก ทำให้อดนึกถึงราคาสินค้าต่างๆจะต้องพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย รวมไปถึงค่าไฟฟ้าซึ่งตลอดเวลานั้นราคาจะอิงอยู่กับราคาน้ำมัน...
นี่ยังไม่รวมถึงปัญหาสุขภาพของเราที่วัดได้จากปริมาณคนไข้ซึ่งแต่ละโรง พยาบาลแบกรับภาระกันไม่หวาดไหว ทั้งเจ็บป่วยทางกายและทางใจ
อะไรเกิดขึ้นกับชีวิตคนไทยในวันนี้ และ อะไรจะเกิดขึ้นอีกต่อไปในอนาคต ?
คำตอบที่เราได้มาก็คือ...สิ่งที่เกิดขึ้นกับคนไทยหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ เกิดจากสาเหตุใหญ่...นั่นคือ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติได้ถูกทำลายลงไปทุกวัน และหากวันนี้เรายังไม่คิดพลิกฟื้นให้คืนกลับมาดังเดิม ก็เท่ากับเราทำลายความสุขและอนาคตของลูกหลานเราอย่างไม่รู้ตัวเช่นกัน
ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เราจะต้องเร่งแก้ไขก่อนที่มันจะเลวร้ายลงไปกว่านี้ คือการใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด และพยายามคิดค้นหาพลังงานทดแทนที่นอกจากไม่ทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลงไป กว่านี้อีกแล้ว ยังช่วยจรรโลงชีวิตมนุษย์โลกให้มีความสุขขึ้นด้วย
การแก้ปัญหาที่ว่านี้...เริ่มทำได้จาก "บ้าน" ของเราเอง
ศ.คร. สุนทร บุญญาธิการ แห่งคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิชาการที่มีแนวความคิดข้างต้นนี้ ได้เริ่มทำแล้วเมื่อสิบปีก่อน
บ้านประหยัดพลังงานสูงสุด ที่ทั้งดูสวยงาม และเต็มไปด้วยประโยชน์ใช้สอยของเขา ในหมู่บ้านเมืองเอก เป็นวิมานน้อยๆของครอบครัวที่สมาชิกสามารถเก็บเกี่ยวความสุขได้อย่างน่าทึ่ง
ปัจจุบันอาจารย์สุนทรต่อยอดองค์ความรู้ของบ้านประหยัดพลังงานสูงสุดไปสู่ บ้านพลังงานแสงอาทิตย์สมบูรณ์แบบ บ้านที่จะช่วยให้ผู้อยู่อาศัยไม่ต้องจ่ายค่าไฟฟ้า น้ำประปา น้ำมันเชื้อเพลิงหรือแก๊สสำหรับหุงต้ม ไม่เพียงแต่ประหยัดพลังงาน และ ช่วยเสริมสร้างสิ่งแวดล้อมเท่านั้น "บ้าน" ที่ ดร.สุนทร ศึกษาและคิดค้นออกแบบสร้างขึ้นมานั้น ยังให้คุณภาพชีวิตกับทุกคนที่อยู่อาศัย...เป็นบ้านเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง
เมื่อเราก้าวเข้าไปในบ้านพลังงานแสงอาทิตย์สมบูรณ์แบบ...บ้านหลังที่สองของ ดร.สุนทร ที่มีชื่อเรียกอย่างไพเราะว่า บ้านชีวาทิตย์ ในหมู่บ้านสาริน ที่คลอง 5 อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ...
คำตอบต่างๆที่อธิบายเรื่องของสิ่งแวดล้อม และ การประหยัดพลังงานในบ้านก็หลั่งไหลออกมาจากการสนทนากับดร.สุนทรในวันนั้น
// ทราบว่าจุดเริ่มต้นของการสร้างบ้านประหยัดพลังงาน มาจากการแก้ปัญหาสุขภาพ
"ผมไปอยู่เมืองนอกหลายปี กลับมาใหม่ ๆ ภรรยาผมเป็นภูมิแพ้มาก จนผมเกือบถอนหมั้นเขาเลยนะ เพราะเป็นรุนแรงเหลือเกินต้องฉีดยาทีละ 2 เข็ม ตัวผมเองก็จะเป็นหวัดทุก 2 อาทิตย์ ทำงานไม่ได้ นั่งตรวจแบบน้ำมูกไหลไป คนรอบข้างเห็นเขาก็รับไม่ได้ นั่งทำงานจะไอจะจามตลอด แต่ตั้งแต่เข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหม่ ที่เราอยู่มา 12 ปีแล้ว สุขภาพดีขึ้น อาการที่เคยเป็นหายไปและไม่เป็นอีกเลย..."
//ทำไมอาจารย์คิดว่าสาเหตุเกิดจากบ้านที่เราอยู่คะ
"คือเมื่อรู้ว่าเรามีอาการภูมิแพ้ เป็นหวัดบ่อยมาก ก็พยายามหาสาเหตุและพบว่าที่บ้านเรานั่นเองที่เป็นแหล่งสะสมฝุ่น สะสมเชื้อโรค มีเชื้อรา แบคทีเรียต่าง ๆมากมาย ...เราป่วยเพราะอะไร เพราะที่อยู่อาศัยของเรา บ้านที่เราอยู่ วัสดุที่เรานำมาใช้ ผนังห้อง พวกนี้เมื่อโดนแอร์จากระบบปรับอากาศ ไม่ว่าจะเป็นอิฐมวลเบา อิฐฉาบปูน อิฐบล็อก พวกนี้ความกันความชื้นไม่ได้ แต่ดูดซับความชื้น สะสมความชื้น ผนังห้องที่รับความชื้นในระยะยาวก็จะเกิดเชื้อรา แบคทีเรีย เป็นเหตุให้เรามีปัญหาเรื่องทางเดินหายใจ เจ็บป่วย ตาแดง น้ำมูกไหล เป็นภูมิแพ้ ซึ่งคนในประเทศไทยเป็นเยอะที่สุด
พอเจอปัญหานั้นก็คิดว่าต้องเปลี่ยนระบบ ทำบ้านใหม่เพื่อจะไม่ต้องเจอกับปัญหาแบบนั้นอีก ซึ่งสิ่งที่ผมทำ ผมนำมาใช้กับที่บ้านผมตอนนั้น ไม่ใช่เรื่องของโซลาร์เซลล์อะไรเลย แต่ทำเพื่อให้สุขภาพเราดีขึ้น ไม่ให้พลังงานความร้อนเข้าบ้าน กันความชื้นไม่ให้เข้าบ้าน หาฉนวนมาหุ้มที่ผนัง เหมือนบุโฟมที่ตู้เย็น ก็จะช่วยกันความร้อนความชื้นได้อย่างมีคุณภาพเทียบเท่ากับผนังก่ออิฐฉาบปูน หนาประมาณ 3 เมตร ทีนี้แค่ใส่แอร์เข้าไปนิดเดียวก็เย็นสบาย เชื้อราก็ไม่เกิด เพราะไม่มีความชื้น บ้านผมอยู่มา 12 ปีกว่า ไปเลิกพรมดูยังขาวบริสุทธิ์"
"ผมทำการศึกษาเรื่องสภาพอากาศภายในอาคาร (indoor air quality) มาตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้วตั้งแต่สมัยที่สอนอยู่ที่มิชิแกน สหรัฐอเมริกา ซึ่งผมสอนอยู่ที่นั่นถึง 18 ปี โดยที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนนี่เขาถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าพอกลับมาเมืองไทยเรายังไม่เข้าใจว่าสภาพปัญหาที่เราพบเกิดจาก อะไร ก็เลยศึกษาเรื่องผนัง เรื่องความชื้น ถึงได้พบว่าผนังบ้านเรา การก่อสร้างที่บ้านเราทำกันอยู่มันใช้ไม่ได้ กันความชื้นไม่ได้เลย
พอเราร้อนจากอากาศข้างนอก เราติดตั้งระบบปรับอากาศ โยนแอร์เข้าไปทำให้เย็น แล้วก็โดนความชื้นเข้าไป พอถึงอุณหภูมิที่พอเหมาะก็จะเกิดเชื้อราขึ้นได้ ทีนี้ในส่วนภายนอก เมื่ออุณหภูมิไปถึงประมาณ 25 องศา จะมีการควบแน่น แบบเดียวกับที่เวลาเราใส่แว่นอยู่ในห้องแอร์พอออกไปข้างนอกแว่นจะเปียกชื้น ด้วยไอน้ำ เป็นอาการเดียวกัน
ถ้าอาคารกันความชื้นไม่ได้ แอร์จะทำหน้าที่รีดความชื้น แอร์ก็จะมีหยดน้ำเกิดขึ้น แสดงว่าแอร์กำลังรีดความชื้นอยู่ เป็นสมการที่พอมันรีดไปถึงจุดหนึ่งความชื้นจะทะลักผ่านเข้ามาเจอความเย็น เกิดเป็นการควบแน่น สะสมไว้จนที่สุดเกิดเชื้อรา และยิ่งความชื้นสัมพัทธ์คุมไม่อยู่ ขึ้นไปจนเกือบ ๆ 70 % เชื้อราชอบมาก ทีนี้จะเกิดอาการที่ผมเรียกว่า...เน่าใน "
// เน่าใน คืออะไรคะ
"ลองสังเกตดูนะครับ เคยไหมที่ไปบางบ้าน บางแห่ง บางโรงแรมที่เขาติดแอร์แล้วเราจะได้กลิ่นตุ ๆ บางทีจะเป็นกลิ่นเหม็นเขียวไม่สดชื่น ห้องแถวส่วนใหญ่จะมีกลิ่นไม่ค่อยสะอาด หรือไม่ก็ห้องนอนเราเอง ก่อนนอนจะมีกลิ่นไม่ดี แต่พอเปิดแอร์ไปสักพัก เครื่องปรับอากาศทำงานไปบ้าง เราก็จะ...เออ...เคยชิน ไม่รู้สึกกับกลิ่นนั้นสักเท่าไหร่แล้ว นี่คือจุดเริ่มต้น ถ้าเราอายุยังน้อย15 ปี 20 ปี หรือ 30 ปีอาจจะยังไม่เป็นไร แต่ถ้าย่างเข้า 40-50-60-70 อะไรเท่านี้แล้ว อย่างผมก็ 50 บวกแล้ว อยู่ไม่ได้แล้วครับ อยู่แบบนั้นก็ตายเปล่า ชีวิตสั้นแน่ ๆ"
//เข้าใจถูกต้องไหมคะว่า ปัญหานี้อยู่ที่เรื่องการปรับอากาศ
"ไม่เกี่ยว แต่การปรับอากาศทำให้อากาศเย็น พอเย็นจะเกิดการควบแน่น ถ้าเราทนอยู่แบบร้อนๆ ได้เพราะไม่อยากเปิดแอร์ ถ้าอยู่ได้ก็ไม่มีปัญหา อากาศปกติมันไม่ควบแน่น เหมือนเราเอาน้ำใส่แก้วธรรมดาก็จะไม่มีหยดน้ำเกาะข้างแก้วหรอก แต่ถ้าเราเอาน้ำแข็งใส่ลงไปสักก้อนเดียวเดี๋ยวก็จะมีหยดน้ำเกาะขึ้นมาแล้ว แต่ใครจะอยู่ได้ล่ะ ...ประเทศไทยตอนนี้อากาศข้างนอกบ้านเราอยู่ไม่ได้แล้ว ไม่มีทางที่จะอยู่ได้ เพราะขึ้นไปถึง 42 องศาแล้ว และถ้าข้างนอก 42 องศา ข้างในบ้านต้องเกินกว่านั้นแน่ สำหรับบ้านทั่วไป ฉะนั้นไม่มีทางอยู่ได้หรอก เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นต่อไปถ้าเราไม่เข้าใจเทคโนโลยี และอีกสารพัดรูปแบบ ผมเองพอค้นพบทางออกอันนี้ก็เลยมาทำบ้านระบบนี้ขึ้น"
// แต่ที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยได้ยินว่าใครทำบ้านแนวนี้สักเท่าไหร่เลย
"เนื่องจากเขาไม่ทราบกัน...อีกอย่างคนไทยเราถือลัทธินิยมฝรั่ง เขาทำอะไรเรามักจะเอามาทำตาม เท่ากับเราเอาเทคโนโลยีเมืองหนาวมาใช้กับเมืองร้อน ในขณะที่เราอยู่กันคนละสุดขั้ว ทุกอย่างที่เราทำจึงตรงข้ามกับที่ควรจะเป็น เขาเป็นเมืองหนาวแห้ง เราเป็นเมืองร้อนชื้น คนละซีกสมการ
ส่วนใหญ่มาจากอาจารย์บ้านเราไปเรียนเมืองนอกมาสัก 2 ปี ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เห็นเขาทำอะไรก็ทำตาม แล้วเป็นตามกันทั้งประเทศ ซึ่งเอาชนะไม่ได้เสียด้วย เพราะคนจำนวนมากที่ทำแล้วก็มักจะเชื่อว่าตัวเองทำถูก เหมือนทำผิดจนชิน และไม่รู้ว่าสิ่งถูกคืออะไร เหมือนสมัยก่อนเรารักษาโรคด้วยผี หมอผี มีการเซ่นเจ้าเป่ามนต์ ทำกันมาจนไม่มีทางออก และเชื่อว่าถูก จนเดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่
...ที่จริงผมทำไปหลายหลังแล้วนะ มีบ้านผู้ใหญ่หลายคนที่ให้ผมออกแบบให้ เช่น บ้านอาจารย์ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ มหาวิทยาลัยชินวัตรของท่านนายกฯทักษิณ ก็เป็นระบบนี้ และก็บ้านรัฐมนตรีอีกหลายท่าน บ้านผมเองทุกหลัง ฯลฯ แต่ที่พูดถึงไม่ใช่บ้านพลังงานแสงอาทิตย์สมบูรณ์แบบ อย่างหลังนี้ บ้านเหล่านั้นผมจะเรียกว่าบ้านประหยัดพลังงานชั้นดี แต่บ้านพลังงานแสงอาทิตย์ฯจะมีหลังนี้เพียงหลังเดียวเท่านั้น ยังไม่ได้สร้างที่ไหนอีก
แต่ก่อนนี้ สัก 20 ปีก่อนมีหลายหมู่บ้านที่ผมทำไว้ในระบบเก่า แต่เดี๋ยวนี้ผมก็ปฏิเสธที่จะทำแบบเดิมแล้ว เพราะผมรู้ว่าถ้าเรายังทำแบบเดิม ในระยะยาวจะเกิดอะไรขึ้น มันเหมือนฆ่าตัวตายผ่อนส่ง ภรรยาผมถ้าเขาไม่มาอยู่ที่บ้านหลังใหม่ผมว่าเขาอยู่ได้ไม่เกินเกษียณหรอก รับรองเรียบร้อยไปไม่รอดหรอก"
//ถึงเราทำในบ้านของเราอย่างดีแล้ว แต่นอกบ้านก็ยังเต็มไปด้วยทั้งฝุ่น ควัน เชื้อโรค แบคทีเรียอีกมากมายนะคะ
"เราคิดแค่ว่า เฉพาะเวลาที่เราอยู่บ้าน กลับถึงบ้าน 4 โมงเย็น อยู่บ้านถึง 8 โมงเช้า เท่ากับเราอยู่บ้านประมาณ 16 ชั่วโมง เวลาที่เราอยู่ในบ้านเราได้ฟอกปอดเกินครึ่งของเวลาที่เราอยู่นอกบ้าน แล้วเราจะไปรับเชื้อกลับมาฟอกปอดต่ออะไรทำนองนี้ โอ๊ย ! มันดีกว่าเยอะ ดีกว่าหมักหมมตลอดเวลา เจอเชื้อที่นี่แล้วก็ไปเจอเชื้อที่โน่น ไม่มีการพัก
เพราะอย่างนี้เมืองใหม่ ๆ เขาถึงให้มีการพักเมือง ไม่เอาที่อยู่อาศัยกับเมืองไปผสมกัน กลางคืนเราก็ออกไปพักอาศัยกันนอกเมืองไปเลย แล้วตอนกลางวันค่อยกลับเข้ามาทำธุรกิจ แบ่งเขตเพื่อให้เมืองได้พัก เช่นเดียวกับบ้าน ออกไปทำงานรับเชื้อมาพอถึงบ้านก็ฟอกปอด บ้านของเราจะเป็นเหมือนไอซียูของคนปกติที่ กันความร้อน กันเชื้อรา กันเชื้อทุกอย่าง มาถึงบ้านเราก็สูดหายใจได้เต็มที่ เช้าขึ้นมาจะได้มีพลังไปต่อสู้ต่อ
คำว่า intensive care unit ก็คือการคุมความร้อน ความชื้น คุณภาพอากาศไม่ให้มีการติดเชื้อในห้องนั้น สำหรับคนป่วยหนักๆ เขาถึงรอดชีวิต ซึ่งเราสามารถทำไอซียูที่บ้าน แล้วทำไมจะไม่ทำ ทำไมจะไม่เข้า จะได้ไม่ต้องมีโอกาสป่วย ผมเองหลัง ๆ มานี้ไม่รู้แล้วว่าหวัดคืออะไร ไม่ติดเชื้อมานาน ติดมาบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ พอเข้านอนตื่นมาก็หายแล้ว นี่คือความแตกต่าง ที่เราได้ฟอกปอด"
//ผลลัพธ์และภาพรวมดีจริง แต่ค่อนข้างจะไม่ชัดเจนพอจะรู้สึกได้ทันที ไม่ทราบมีอะไรดี ๆจากระบบนี้อีกไหมคะ
"ตอนนี้ลองมองออกไปนอกบ้านดูสิ ในเวลาอย่างนี้ (เกือบจะเที่ยวตรงแล้ว) ถ้าจะมองกลางแจ้ง แสงจ้าจะทำให้เราต้องหยีตา ระคายตา แต่นี่เราสามารถมองออกไปได้อย่างสบาย ๆ ความสว่างที่เราเห็นก็จะนวล ๆ ไม่จัดจ้าทำลายสายตา ถึงในห้องเองก็ไม่ต้องเปิดไฟฟ้าให้ความสว่าง เรารับแสงสว่างจากธรรมชาติได้เลย และรังสียูวีก็ไม่เข้ามา อัลตราไวโอเลตเข้าไม่ได้ผิวเราก็จะสวยตลอด เพราะกระจกที่เราติดตั้งตัดอัลตราไวโอเลตออกไปแล้ว อินฟาเรดก็ตัดไปแล้ว คลื่นความร้อนไม่เข้า เข้ามาแต่คลื่นแสง มองยังไงก็สบายตา ไม่ต้องเลิกขนคิ้ว ไม่ต้องเกร็งสายตา ทำให้หลีกเลี่ยงตีนกาได้...บ้านหลังนี้อยู่แล้วแก่ช้าครับ"
// ขนาดนั้นเลยหรือคะ ?
"จริง ๆ ไม่ได้พูดเล่น ที่พูดนี่จริงทั้งหมด เป็นเรื่องของศาสตร์ยุคใหม่ ที่ต้องทำความเข้าใจ ไม่ใช่ราคาคุย แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมของดี ๆอย่างนี้ถึงเพาะพันธุ์ แพร่พันธุ์ได้ยาก บ้านเรายึดมั่นถือมั่นมากไปหรือเปล่า..."
// เพราะเราค่อนข้างจะเชื่อในเรื่องที่มีรางวัลรับรอง ยกย่องจากภายนอกหรือเปล่า
"บ้านนี้ก็ได้รับรางวัลมาเยอะ เช่น รางวัลที่ 1 เรื่องการอนุรักษ์พลังงานของประเทศไทย แล้วก็ไปได้รางวัลของภูมิภาคที่ 13 ซึ่งเป็นโซนร้อนชื้น ไล่มาตั้งแต่อินเดียถึงญี่ปุ่น โซนเดียวกับเรา สภาพอากาศแบบเดียวกับเรา และเมื่อเดือนที่แล้วก็ได้รางวัล Best practice award รางวัลที่ให้แก่ผลงานที่ดีงามในการปฏิบัติวิชาชีพเชิงใช้จริง เป็นรางวัลยอดเยี่ยมสำหรับของสมาคมในภูมิภาคเอเชีย แล้วก็เพิ่งไปได้มาเมื่อ 4 วันที่แล้วอีก 1รางวัล กำลังจะไปรับรางวัลจากประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ต้นเดือนมิถุนายนนี้"
// แสดงว่าแนวคิดนี้กำลังได้รับความสนใจ และเริ่มแพร่หลายไปในวงกว้าง
"มีอยู่ในทุกเว็บ Bio solar home ถ้าเสิร์ชคำนี้จะมีทั่ว และหลายคนบอกว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านโซลาร์เซลล์ที่สวยที่สุด"
// อาจารย์ต้องใช้เวลามากน้อยขนาดไหนกับการสร้างบ้านหลังนี้
"โอโห กว่าจะบวกลบคูณหารตัดต่อกันออกมาได้ขนาดนี้ ใช้เวลาไปเป็นยี่สิบปีถึงได้แนวคิดมา และยังทำต่อมาอีกประมาณ 3 ปี ถึงจะมาเป็นบ้านหลังนี้ได้ เกือบ 30 ปีนะ"
//การที่เราจะได้รับรางวัลต่าง ๆ นั้น ผู้มอบมีหลักเกณฑ์ในการตัดสินอย่างไร
"เวลาที่เขามีงาน มีข่าวการประกวด เราจะส่งข้อมูลของเราไปเข้าไป เสร็จแล้วเขาก็จะส่งคณะกรรมการมาดู อย่างเมื่อ 3-4 เดือนก่อนก็มีต่างชาติมากันจากทั่วโลก แห่กันมาเยอะแยะเลย คนที่ได้รับรางวัล ถ้าไม่เป็นสถาปนิกก็อาจจะเป็นวิศวกร คนใดคนหนึ่งนี้ "
// อาจารย์จะเป็นทั้งสถาปนิกและวิศวกร ด้วยหรือเปล่าคะ?
"ผมไม่ได้เป็นวิศวกร แต่ผมรู้เรื่องเอนจิเนียร์ทุกระบบ มีศักยภาพพอที่จะโยนคำถามให้วิศวกรระดับสูงของโลกอึ้งได้ เพราะว่าตอนที่ทำปริญญาเอก และสอนที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน ผมได้ไปเรียนเกี่ยวกับงานระบบทางเอนจิเนียร์ทุกสาขาเพื่อจะมาคุมปริญญาเอก ของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ซึ่งต้องการความเป็นวิชาการสูง เลยไปเรียนเพิ่มเติม ที่จริงเขาต้องการแค่ 40 หน่วยก็พอ แต่ผมก็เรียนเพิ่มไปเป็น 170 กว่าหน่วยเพื่อจะมาสื่อสารกับเอนจิเนียร์ให้รู้เรื่องจริงๆ พูดได้ว่าสามารถคอนโทรลทุกจุดทุกอณูของบ้านเช่นเดียวกับวิศวกรทั้งหลาย และในบางเรื่องสามารถทำได้เท่ากับผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นเลย
การทำบ้านยุคใหม่ที่มีประสิทธิภาพ ผมคิดว่าเราต้องคำนึงถึงความสวยงามด้วย ถ้าเราเป็นสถาปนิกแล้วไม่พยายามประสานระบบกับเอนจิเนียร์ มันก็จะออกมาสวนทางกัน หรือไม่ก็ต้องทำกันไปทีละอย่าง ตัวอย่างเช่น มือของเราสองด้าน เหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษ แต่ถ้าลองเราเอาหนังที่หุ้มด้านหน้าไปหุ้มด้านหลังมือจะเกิดอะไรขึ้น สวยไหม ใช้งานได้ไหม ยุ่งเลยนะ เพราะด้านหนึ่งหนังบาง ด้านหนึ่งหนา แต่มีความนิ่มนวล ลองตัดออกมาดูสิ วางไว้ข้างนอก 10 นาทีแข็งโป๊กแล้ว และมีลายมือ ฯลฯ รายละเอียดต่างๆ เหล่านี้กว่าจะเป็นระบบได้มันผสมผสานกันมาอย่างสุดยอด
บ้านหลังนี้จริง ๆ ก็เหมือนบ้านทั่วไป แต่เราต่างตรงการเลือกใช้วัสดุ เปลี่ยนวัสดุก็ผิดประโยชน์ไปแล้ว เช่นนิ้วมือเราที่มีเล็บกับไม่มีเล็บก็จะมีความสามารถในการหยิบจับข้าวของ ได้ต่างกัน ทุกอย่างมีที่มาที่ไป ถ้าสถาปนิกบอกให้เอาวัสดุชนิดหนึ่งมาบุที่ผิวมือเราเพื่อความสวยงามอย่ง เดียวไม่ได้หรอก ต้องเพื่อการใช้งานด้วยถึงจะดี ต้องล้างน้ำได้โดนน้ำได้ หยิบจับข้าวของได้ไม่มีปัญหา ต้องครบวงจร อย่างที่เขาพูดกันว่าผู้หญิงสวยหาที่ไหนก็ได้ แต่สวยและดีหายากนะ"
// อยากได้บ้านอย่างนี้สักหลัง ต้องใช้จ่ายมากสักเท่าไหร่คะ
"ราคาบ้านหลังนี้ไม่ได้ต่างจากบ้านทั่วไปนะครับ แต่ที่จะแพงหน่อยคือค่าแบบ คิดเป็น 10-15 เปอร์เซ็นต์ของราคาบ้าน สำหรับหลังนี้ตีเสียว่าเกือบสามแสนบาท แต่เมื่อก่อสร้างจริง ๆ แล้วจะถูกกว่าบ้านธรรมดาด้วยซ้ำไป เพราะว่าคุณภาพชีวิตที่เราได้จากบ้านหลังนี้ คุ้มมากนะ มันจะจ่ายคืนให้เราทันที...ผมมีเพื่อนที่จะลงทุนซื้อเฟอร์นิเจอร์ทีละแสนสอง แสน โอ้ย ! คิดแล้วคิดอีก แต่มีอยู่วันหนึ่งหมอบอกว่าป่วยเป็นโรคหัวใจรุนแรงต้องผ่าตัดหมอเรียกล้าน ห้า ภรรยาเขาตอบได้ในเสี้ยวนาที โอ.เค. จ่ายล้านห้าใช้เวลาไม่ถึง 10 วินาที เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิต เราไม่รักชีวิตเราหรือ ทำไมเราถึงยอมตายผ่อนส่งล่ะ
เช่นเดียวกับผู้หญิง ไม่มีใครอยากแก่เร็ว ที่ผมจะพูดนี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะ ในอากาศที่เย็นสบายคงที่อายุเซลล์สามารถยืดออกไปได้อีกอย่างน้อยก็ 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ผมยังหาข้อมูลที่แน่ชัดตัวนี้ไม่เจอ เรื่องนี้เคยมีหมอเขาเล่าให้ฟังว่าอายุเซลล์ของเราจะอยู่ที่ประมาณ 25 องศาเซลเซียส กับประมาณ 30 กว่าๆ เมื่ออายุเซลล์ยาวขึ้นเท่ากับอายุคนก็ได้ยืดออกไปด้วย ประมาณ 120 วัน ซึ่งมนุษย์เรามีวงจรการเกิดเซลล์ที่จำกัด ฉะนั้นถ้าอายุแต่ละชั้นเกิดและตายช้าลงหมายความว่าเราสามารถยืดอายุออกไปได้ อีก"
// นอกจากสถาปัตยกรรม วิศวกรรม แล้วอาจารย์ยังรู้เรื่องชีววิทยาด้วย?
"อ้าว ! บ้านหลังนี้ถึงเรียกว่า บ้านชีวาทิตย์ ไง คือบ้านชีวอนามัยที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ มาจากชีวอนามัยบวกกับแสงอาทิตย์ บ้านที่อยู่แล้วไม่เจ็บไม่ป่วย มีหลังเดียวในโลก ซึ่งคอนข้างจะล้ำยุคไปในอนาคตประมาณ 15 ปี คาดว่าอีก 15 ปี คนจะรู้จักบ้านแบบนี้เยอะขึ้น อีก 15 ปี เราถึงจะสร้างได้เพื่อช่วยชะลอความแก่ ความทุกข์ทรมาน ชะลอค่าใช้จ่าย ค่าน้ำค่าไฟ ซึ่งบ้านหลังนี้ไม่ต้องใช้น้ำประปาเพราะใช้น้ำจากน้ำค้าง น้ำฝน น้ำแอร์ ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าเพราะใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ แก๊สจากการหมักขยะ ถ้าผมใช้รถไฟฟ้าผมก็จะเอารถออกวิ่งได้วันละ 50 กิโลเมตร"
// นี่คือคุณค่าของบ้านชีวาทิตย์...?
"ใช่ในขณะที่ทุกอย่างแพงขึ้น ๆ ๆและอากาศหายใจก็กำลังจะแพงมากตามขึ้นไปอีก อากาศในบ้านชีวาทิตย์ฟอกแค่ 0.1 ไมครอน ในขณะที่เส้นผมของเราขนาด 60 ไมครอน น้ำทิ้งที่บ้านนี้จะไม่มีการทิ้งลงท่อให้ออกไปเป็นมลภาวะ แต่เราจะรีไซเคิลโดยบำบัดจนสามารถนำกลับมาใช้ได้ ซึ่งหน้าฝนอย่างนี้อาจจะมีน้ำเหลือใช้มากหน่อยก็คงจะต้องทิ้งไปบ้าง
ผมกำลังจะเอาแนวคิดอันนี้ไปใช้กับเกาะต่างๆ ในบ้านเรา ที่มีนักท่องเที่ยวเยอะ ๆ ไปบำบัดน้ำให้เขาจะได้ไม่ต้องมีการซื้อน้ำ หรือผลิตน้ำสะอาดใช้กัน ในขณะเดียวกระบวนการนี้ก็จะช่วยให้สภาพแวดล้อมไม่ถูกทำลาย ตอนนี้กำลังดูเทคโนโลยีใหม่ ถ้าเรื่องนี้เสร็จเมื่อไหร่ผมจะดื่มน้ำในส้วมให้ดู เพราะเราจะบำบัดให้สามารถตักน้ำจากส้วมมาดื่มได้เลย"
// ไม่ทราบจากหลักการอะไรคะ?
"บ้านเราเป็นเมืองร้อนชื้นใช่ไหม แบคทีเรีย เชื้อโรคอะไรพวกนี้อัตราการเติบโตของมันจะอยู่ที่ประมาณ 30-35 องศาเซลเซียส ถ้าเรามีการนำแบคทีเรียมาใช้อย่างถูกต้อง ค่าที่เรียกว่าบีโอดีของน้ำนี่จะวัดได้ต่ำมาก ๆ จนถึงขั้นที่เราสามารถดื่มได้ อย่างน้ำคลองที่เราโดดลงไปว่ายกันต๋อมแต๋ม ๆ บีโอดีอยู่ที่ประมาณ 15 แต่ของเราที่ลองกับน้ำจากส้วมแล้วเหลือแค่ 3 อีกสักพักหนึ่งก็คงเหลือศูนย์เท่าน้ำกลั่น แล้วทำไมจะดื่มไม่ได้? สิ่งเหล่านี้ทำได้"
// คล้ายๆกับที่เขาโฆษณาขายเครื่องทำน้ำดื่มจากพลังแม่เหล็กไฟฟ้าอะไรนั่นหรือเปล่าคะ?
"ผมยังไม่เคยเห็นนะ ว่าที่พูดถึงคืออะไร แต่บ้านเรานี่ระบบคุ้มครองผู้บริโภคของบ้านเรามีมาตรการเอาผิดกับโฆษณาที่ อันตรายต่อคุณภาพชีวิตต่ำมาก สมัยก่อนก็มีออกมาโฆษณาขายที่นอนแม่เหล็กบอกว่านอนแล้วหายป่วย แต่ผมเห็นนอนตายไปเท่าไหร่แล้ว ไม่เห็นใครหายเลย แต่เราก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะแค่เขามาหายใจรดต้นคอผมก็เดี้ยงแล้ว
จะไปตีเขาไม่ได้หรอก อย่างกระเบื้องที่ออกมาโฆษณาขายกันอยู่ทุกวันนี้ มีหลายตัวที่เรารู้ว่ามันเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ถ้าสารปนเปื้อนจากตัวมันเข้าไปในระบบทางเดินหายใจของเราได้นี่ มันจะก่อมะเร็ง มีไดออกซิน ...หรือ อย่างเตาเผาขยะ เผาศพ พวกนี้ถ้าอุณหภูมิไม่ถึงจะก่อไดออกซินแน่นอนเลย แต่เมืองไทยไม่เหมือนเมืองนอก เราไม่มีใครโวย คนที่รู้ก็ไม่มีใครพูด เวลาใครเป็นอะไรขึ้นมา พิสูจน์ออกมาได้แค่ป่วย สาเหตุเพราะ?...หมอบอกได้แค่มีโรคแทรกซ้อน หัวใจวายเฉียบพลัน พูดได้หมด อะไรก็ได้ ใช่ทั้งนั้น แต่เราสิพูดไม่ได้ ผมพูดได้เมื่อไหร่ อะไรที่ไม่ดีพูดไปก็มีปัญหา ฉะนั้นต้องปิดปากเอาไว้ ค่อยพูดแต่เรื่องดี ๆ"
// แล้วอะไรดีๆ ที่เราจะพูดได้ ทำได้ต่อไป
"ตอนนี้ผมจะไปเกาะทุกอาทิตย์ ที่เพิ่งไปมาก็เกาะสมุย โอโห ! เห็นแล้วตกใจเลย ทำไมน้ำที่เกาะสมุยน้ำอย่างนี้ ไม่น่าเล่นเลย ผมจำได้เลยนะว่าเมื่อสัก 28 ปีก่อนนี้ไปสมุยน้ำจะใสแจ๋ว เรียกว่าใสจนน่าเกลียด อย่างเกาะเต่านี้ใสแหนวเลย แต่ตอนนี้ทุกที่เริ่มเน่าแล้ว พัทยา หัวหิน ภูเก็นนี่ดูไม่จืดเลย เพราะเราไม่รีไซเคิลน้ำ โอย เห็นแล้วสุดรันทดหดหู่ ขณะนี้เกาะอย่างนางยวนยังใส แต่ถ้าเราประมาท ยังทำลายหมักหมมกันไปเรื่อยเพราะเห็นว่าทะเลมันกว้าง กว่าจะมาถึงขนาดนี้มันใช้เวลาเป็นทศวรรษ เป็นร้อยปี พันปี สิ่งนี้จะเป็นเช่นเดียวกับอากาศในกรุงเทพฯ เราทำลายจนจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว ทั้งที่เมื่อก่อนมันบริสุทธิ์
ถ้าเราไม่มีอะไรเปรียบเทียบให้รู้ว่าอะไรคือสิ่งดี สิ่งดีควรเป็นอย่างไร เอาแต่เห็นแก่ตัว คิดว่าแค่นี้เราทนได้ เพราะอยากจะมักง่าย คิดว่าไม่เป็นไร อันนี้จะแย่นะ...ผมอาจจะอยู่เมืองนอกมานาน พอกลับมาเห็นอะไรอย่างนี้แล้วพูด เขาก็หาว่ากระแดะ แต่จริง ๆ ผมเติบโตในเมืองไทย ยุคของผมคือ 14 ตุลา ตอนนั้นผมถูกไล่ออกไปจากพื้นที่ต้องหนีเตลิดเปิดเปิงไปตอนปี 2517 ถึงได้ไปเรียนปริญญาโท ปริญญาเอก อยู่เมืองนอก 18 ปี กลับมาก็ปี 2534 ก็เมื่อ 13 ปีนี่เอง..."
// รู้สึกว่าอาจารย์จะไม่เคยเปิดมุมนี้มาก่อน ไม่ทราบตอนนั้นเรียนจบหรือยังคะ
"เรียนจบแล้ว แล้วก็ไปเดินขบวนต่อสู้ทรราชกับเขา ตอนนั้นผมเป็นประธานกลุ่มนักศึกษาสถาปัตย์ มีชื่ออยู่ในลิสต์เหมือนกัน วันสุดท้ายที่ต้องหนียังเข้าประชุมกับพวก เสาวนีย์ฯ ธีรยุทธฯ เสกสรรค์ฯ กันอยู่เลย มีประชุมกัน...แล้วก็ต้องหลบ ๆ ซ่อนๆ หนีออกไปเรียนต่างประเทศกัน ช่วงนั้นผมอยู่ตลอด..."
// ขออนุญาตกลับไปที่เรื่องไปเกาะ
"ก็จะไปกันทุกอาทิตย์ ไปกับกลุ่มสิ่งแวดล้อม ผมเป็นที่ปรึกษาของสิ่งแวดล้อม รณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมกัน เพราะบนเกาะนี่สายไฟเราก็ไม่อยากเห็น ฉะนั้นต้องเป็นโซลาร์เซลล์แน่นอน ต้องทำระบบบำบัดน้ำชนิดดื่มได้ให้ทุกเกาะ ต้องใช้ให้หมดจะได้ไม่ต้องปล่อยอะไรลงทะเลเลย ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดตอนนี้คือเกาะสมุย อาการหนักก็พวกเกาะช้าง เกาะเสม็ด เกาะสีชัง อะไรอีกล่ะ...ที่เกาะพีพีนี่ก็น่าแล้วนะ เวลาเราไปกับสิ่งแวดล้อมเราก็จะดูเรื่องปัญหาขยะ น้ำเสีย สายไฟ ฯลฯ"
// ปัญหาของเกาะต่าง ๆ ที่พบ คิดว่าต้องใช้มาตรการอะไรบ้างคะ
" วิชั่น ! วิชั่น...คือคนของเราต้องไม่งี่เง่า ศัพท์นี้ฟังแรงนะ แต่ว่าเราเกิดเป็นมนุษย์ต้องรู้ว่าสิ่งถูกคืออะไร สิ่งผิดคืออะไร อย่างที่ผมบอกว่าการทำอะไรดี ๆ มีประสิทธิภาพนี่ไม่ใช่ว่าต้องแพงขึ้นอย่างเดียว จริงๆ แล้วคิดให้ดีจะเห็นนะว่ามันไม่ได้ทำให้แพงขึ้น มีแต่จะถูกลงด้วยซ้ำ
ยกตัวอย่างมหาวิทยาลัยชินวัตร ที่ทำให้ท่านนายกฯ ผมสามารถลดการติดตั้งแอร์ลงไปได้ถึง 1500 ตัน แอร์หนึ่งตันมีค่าใช้จ่ายเท่ากับ 1500 x 50000 ออกมาเป็นเงิน 75 ล้านบาท ค่าก่อสร้างระบบปรับอากาศถูกลงไป 75 ล้าน แล้วผมก็เอาไปเติมเรื่องฉนวนกับกระจกเสีย 25 ล้าน พอก่อสร้างเรียบร้อยตึกนั้นราคาถูกลง 50 ล้านบาท จากเดิม 650 ล้าน เหลือแค่ 600 ล้าน และยังประหยัดพลังงานได้ถึง 70 % เช่นใช้จริง 100 จะมีค่าใช้จ่ายแค่ 30 % เท่านั้น อ้อ ! การก่อสร้างยังเร็วขึ้นอีก 2 เท่าครึ่ง
ถามว่าทำไมคนถึงไม่สร้างกัน เพราะเราไม่มีวิชั่นเหมือนนายกฯ ท่านนายกฯของเรานี่จีเนียสนะ ท่านมองปั๊บท่านรู้ว่าสิ่งที่ควรทำคืออะไร แต่คนบ้านเรานี่พอมีใครทำอะไรแปลกใหม่ ไม่เคยเห็นกันก็ว่าเขาผิด คนที่จะเสียสละอย่างนี้หายากนะ ผมพูดแบบนี้ผมไม่ได้โปรนายกนนะ แต่ผมว่าการที่มีคนอย่างนี้เกิดขึ้นในโลก เกิดขึ้นในบ้านเราเราน่าจะส่งเสริมเขา ไม่อย่างนั้นเขาจะอยู่เมืองไทยไม่ได้ เราต้องส่งเสริมคนดีที่คิดดี โลกนี้ไม่มีคนเพอร์เฟ็กต์ แต่ถ้าเราพบว่าเขามีดีสัก 90 % ก็ให้เขาเถอะ...
คนที่ทำดี ๆ ให้สังคม ทำดีให้ประเทศชาติ ถ้าเขาจะโกงกิน อีกกี่แสนล้านผมก็ไม่ว่าจะถ้าเงินนั้นจะมาหมุนเวียนอยู่ในเมืองไทย เงินไม่ออกนอกประเทศก็...นะ อย่างผมไปที่จังหวัดหนึ่งของภาคกลางใกล้ๆ กรุงเทพฯนี่ล่ะ ผมไปคุยกับชาวบ้านอยากรู้ว่าเขารู้สึกยังไงกับผู้แทนฯของเขา ชาวบ้านบอกเองเลยนะที่ว่าเขา (ผู้แทนฯคนนั้น) โกง เขาว่ายังน้อยไป เพราะเขาโกงแล้วเขาสร้างถนนหนทาง เขาทำให้เมืองพัฒนา เขาอยากให้โกงเยอะกว่านี้อีก เขาจะได้ทำใช้มากกว่านี้"
// ชาวบ้านรู้สึกว่าเขายังได้คืนกำไรกลับมาบ้าง
"ใช่ ความเจริญยังอยู่ในประเทศไทย เงินไม่ไปไหน ดีกว่าพวกที่เอาเงินออกนอกประเทศ อย่างนั้นเรามีปัญหาแน่ ผมอยากให้เรามองให้ถูก เขาโกงไปยังไงเงินก็ยังอยู่ในสังคม มันสะพัดแล้วมีผลดีกับประเทศ ถ้าทำได้อย่างนี้ผมทึ่งมากนะ สำหรับคนที่ทำได้อย่างนี้ผมจะไม่ใช้คำว่าโกง ผมจะใช้คำว่าเป็นเทคนิคการผันเงินจากสังคม คนละเรื่องกับที่เราปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาโกยเงินเรากลับประเทศเขา
ผมมองเรื่องนี้ว่า เหมืนกับการที่เราทุกคนมีแก้วน้ำเป็นของตัวเองคนละใบ อยากดื่มน้ำเมื่อไหร่ก็หยิบขึ้นมาได้ทันที แต่วันหนึ่งที่ต่างชาติเข้ามาเอาของเราไป เราก็จะเหลือแก้วไม่กี่ใบ จะใช้สักทีก็ต้องแบ่งกันใช้ 2 คนแก้ว หรือ 3 คนแก้ว ก็ต้องแบ่งกันใช้ แต่สิ่งที่นายกฯทำอยู่ตอนนี้คือท่านพยายามแบ่งสันปันส่วนเพื่อให้ทุกคนมี แก้วใช้ประจำตัว
สมัยก่อนเงินหมุนวันละรอบ วันนี้มันหมุนมากขึ้น สมมุติวันละ 7 รอบ ได้ภาษีร้อยละ 7 ฉะนั้นหมุน 7 รอบทำไมเราไม่คิดถึงผลดีที่มันหมุนได้มากขึ้น รัฐจ่ายเงินออกไป100 ตอนที่ได้ 100 คืน เงิน 100 นี้ไปหมุนมา 7 รอบ รอบละ 7 บาท ได้เพิ่มมาอีกเป็นเท่าไหร่ วันรุ่งขึ้นก็คืนทุนแล้ว...อย่างนี้เสียตรงไหน"
// อาจารย์อยากให้มองที่ภาพรวมมากกว่า...
"ต้องมองภาพรวม ด้วยเหตุนี้การทำมหาวิทยาลัยของท่านถือว่าเป็นการมองการณ์ไกลมาก ผมถึงบอกว่าเราต้องมีวิชั่น ให้สมองคิดบ้างแล้วเราจะรู้ว่าไอ้ที่เราทำลงไปไม่ได้แพงขึ้น แต่ถูกลง และดีกับลูกหลาน เป็นที่มาที่ไปของสิ่งดี ๆ งาม ๆ ที่เราเรียกว่าเกิดจากการใช้สมองของคนไทยแล้วปรับปรุงให้เหมาะสมกับเมือง ร้อนชื้นอย่างประเทศไทย ถ้าไม่ปรับปรุงอะไรก็เอาของเขามาใช้ อะไรก็ไม่รู้ โดยที่ไม่ได้เหมาะกับเมืองเรา ก็เหมือนขโมยเขามาใช้ อย่างมหาวิทยาลัยชินวัตรเราอาจจะยุ่งยาก ใช้สมองมากนิดหนึ่ง แต่เราก็ทำให้ประหยัดพลังงานไปได้ถึง 70 % พร้อมกับได้คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีก 2 เท่าตัว
แต่เราก็ได้ใช้สมองของเราเยอะขึ้น ได้คิดวิธีการที่แยบยลในเรื่องขบวนการจัดการให้เกิดขึ้นได้ มีการนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาช่วยในการบริหารจัดการยุคใหม่ เอาเทคโนโลยี เอาความรู้ ความสามารถเข้ามาใส่และกระจายออกสู่สังคมภายนอก ถ้าเรายังจะทำตามๆ กันแบบสมัยก่อน โดยไม่คิด ลำบากนะครับสำหรับยุคนี้ เพราะนี่เราเข้าสู่ยุคที่ต้องเอาสมองมาสร้างคุณภาพชีวิต"
// ในเมื่อบ้านอัจฉริยะขนาดนั้น เราก็ไม่ต้องคิดอะไรแล้วไม่ใช่หรือคะ
"ก็เราใช้สมองไปในการคิดค้น การสร้างสรรค์แล้วเวลาเราอยู่ในบ้านทีนี้เราก็อีเดียตได้แล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะมานั่งคิดตลอดเวลา เพราะเราต้องไปหาทางทำอย่างอื่นมากกว่า เรื่องบ้านก็ไม่ต้องคิดแล้ว เหมือนเมื่อก่อนเรามีรถยนต์เกียร์มือเดี๋ยวนี้เป็นเกียร์อัตโนมัติ มีระบบเซนเซอร์ ระบบนำร่อง ตรงนี้เราทำงานน้อยลง เพื่อเอาเวลาเอาสมองไปสร้างอย่างอื่น นี่คือแนวโน้มชีวิตในอนาคต
บ้านยุคใหม่จะเป็นบ้านขี้เกียจ แล้วเราก็จะมีคนมาดูแลอะไรต่าง ๆ แทนเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประกัน รถชน ถูกขโมย เราก็ให้พนักงานที่เชี่ยวชาญรับช่วงไป ทำเองไหนหรือ ทำงานเสร็จแล้วต้องกลับมาซ่อมประปาที่บ้าน ให้เจ้าหน้าที่เฉพาะกิจเขาจัดการดีกว่า เพราะพวกนี้เขาจะสร้างระบบจัดการที่ดี ทำให้เขาคิดค่าบริการเราได้ในราคาที่ค่อนข้างต่ำ ...เมื่อถึงจุดแล้วผมว่าชีวิตเราจะเหมือนกับมะม่วง ผมได้ข้อคิดจากต้นมะม่วงที่ขึ้นจากเมล็ดที่ผมกินแล้วทิ้งไว้ที่ข้างรั้ว โยนไปมันก็งอกขึ้นมาเอง อีก 3 ปี ผมก็ไปเก็บมากิน โดยที่ไม่ได้ไปรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ยอะไร เก็บกินอย่างเดียว บ้านยุคใหม่ก็จะเป็นอย่างนี้คือไม่มีการบำรุงรักษา กินอย่างเดียว เก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างเดียว นี่คือที่มาของบ้านหลังนี้ บ้านที่ zero maintainence การดูแลรักษาอยู่ที่ศูนย์
ไม่ใช่แค่ประหยัด แต่ประหยัดสุด ๆ ผมอยากใช้คำนี้นะ เพราะบ้านที่ว่าประหยัดเขาลดการใช้พลังงานลงมา 5 % ยังต้องจ่ายอีก 95 แต่ของผมจ่ายแค่ 15 สำหรับบ้านที่เมืองเอก (บ้านประหยัดพลังงานชั้นดี) ซึ่งก็ถือว่าต่ำกว่ามาก แต่ที่บ้านนี้ (บ้านชีวาทิตย์-บ้านพลังงานแสงอาทิตย์) เราจ่ายแค่ 6.7 ถือเป็นครึ่งหนึ่งของหลังนั้น และยิ่งเดือนไหนที่เราไม่ได้ใช้สักเท่าไหร่ พลังงานที่เราผลิตได้ยังเหลือขายคืนเข้าระบบได้เงินกลับมาอีก"
ทิ้งท้ายไว้แค่นี้...
พร้อมกับความคิดที่ว่า...หากคนไทยวันนี้ เริ่มสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีจากจุดเล็กๆในบ้านของเรา จากบ้านหนึ่งหลังขยายออกไปเป็นชุมชน ก็พอจะมองเห็นอนาคตในทิศทางที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมประเทศอยู่รำไร
ศ.ดร. สุนทร บุญญาธิการ มีความหวังว่าอีก 15 ปี... "บ้านชีวิทิตย์" จะเป็นบ้านของคนไทยที่รักตัวเองและรักสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆกัน
1/2/2009
DIY&LIFE STYLE