การพัฒนาระบบก่อสร้างบ้านของไทยก้าวหน้าต่อเนื่องทุกยุคทุกสมัย จากระบบก่ออิฐฉาบปูนที่เราทราบกันดีในอดีต สู่นวัตกรรมใหม่ที่เรียกว่า บ้านระบบสำเร็จรูป ซึ่งจะเข้ามาทดแทนความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างเร่งรีบ และมีต้นทุนที่ต่ำลง
ระยะแรก การพัฒนาระบบงานก่อสร้างบ้านจากระบบเดิมสู่ระบบสำเร็จรูป ทำโดยผู้ประกอบการ
จัดสรรในตลาด แต่ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคนั้นยังไม่ตอบรับเท่าที่ควร กระทั่งเกิดวิกฤติเศรษฐกิจทำให้ทางเลือกนี้เริ่มนำกลับมาใช้ใหม่ เพราะเป็นส่วนหนึ่งที่เข้ากับยุคสมัยในเรื่องความประหยัดเวลา และต้นทุนการก่อสร้าง
ทั้งนี้ ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมีส่วนผลักดันให้ผู้ประกอบการเล็งเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีก่อสร้างมากขึ้น เพื่อช่วยลดข้อจำกัดของระยะเวลาในการก่อสร้างให้รวดเร็วและเสร็จทันตามกำหนดที่ได้ตกลงไว้กับลูกค้า เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ที่ซื้อบ้านมักจะประสบปัญหาเกี่ยวกับความล่าช้าของการก่อสร้างที่ผู้ประกอบการไม่สามารถก่อสร้างและโอนกรรมสิทธิ์ได้ทันเวลา และทำให้ผู้ซื้อเกิดความเสียเปรียบ เพราะได้ชำระเงินดาวน์ไปแล้วเป็นงวด ๆ ประกอบกับปัญหาความต้องการช่างฝีมือในงานก่อสร้าง ปัญหาการขาดแคลนวัสดุก่อสร้างและปัญหาการควบคุมคุณภาพในงานก่อสร้าง
แนวทางการแก้ปัญหาส่วนหนึ่งของผู้ประกอบการจัดสรร ก็คือ การก่อสร้างระบบก่อสร้างสำเร็จรูป เช่น คาน เสา พื้น และการก่อผนังใช้อิฐมวลเบาซูเปอร์บล็อคมาใช้ เรียกว่าไม่ใช่ระบบสำเร็จรูป 100% ส่วนที่เหลือยังคงใช้ระบบก่อสร้างด้วยมือทำให้ลดค่าใช้จ่ายได้ จึงเป็นการก่อสร้างที่จะนำระบบเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากขึ้น
ดังนั้น ผู้บริโภคซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญของผู้พัฒนาที่อยู่อาศัย ควรใส่ใจและศึกษาถึงข้อดี-ข้อเสียของบ้านระบบสำเร็จรูปนี้ เพื่อประโยชน์ต่อการตัดสินใจจะมีบ้านหลังใหม่ในอนาคต
ระบบก่อสร้างแบบสำเร็จรูปนี้ ตามหลักการ คือ การนำโครงสร้างอาคารส่วนใหญ่ เช่น เสา คาน พื้น ผนัง จะผลิต หรือ ทำสำเร็จรูป มาจากโรงงาน แล้วนำมา ต่อเชื่อม ให้ติดกัน เป็นตัวอาคาร ยังบริเวณที่ทำการก่อสร้าง ลำดับขั้นตอนของงานก่อสร้าง จะเริ่มตั้งแต่การตั้งแบบ ผูกเหล็กเสริม หล่อคอนกรีตเสา คาน พื้น ต่อเนื่องกันไป จนถึงชั้นหลังคา
ส่วนใหญ่นำมาใช้ในงานก่อสร้างอาคารทุกประเภท ได้แก่ บ้านพักอาศัย, คอนโดมีเนียม, โรงงาน, โรงพยาบาล, โรงภาพยนตร์ ตลอดจนอาคารสูงขนาดใหญ่ ที่ต้องการความแข็งแรง และต้องการใช้เป็นฉนวนป้องกันความร้อน เนื่องจากคุณสมบัติของผนังมวลเบา และระบบก่อสร้างสำเร็จรูปนี้จะมีสามารถทนไฟ ในระบบก่อสร้างที่รวดเร็วกว่าระบบก่ออิฐฉาบปูน
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันบ้านที่สร้างด้วย ระบบสำเร็จรูป ก็ยังไม่ถือว่าเป็นระบบที่สมบูรณ์ เมื่อเทียบกับต่างประเทศ เพราะยังต้องใช้ควบคู่กับการก่อสร้างระบบเดิม คือ การก่อสร้างในที่ผสมกับการใช้ชิ้นส่วนสำเร็จรูป อาทิ ผนังมวลเบา เข้ามาเป็นเสริมเพื่อลดข้อจำกัดเรื่องเวลา และต้นทุน ขณะที่ต่างประเทศจะนิยมใช้ระบบก่อสร้างสำเร็จรูปเกือบ 100%
ระบบซีคอน ถือว่าเป็นระบบก่อสร้างสำเร็จรูประบบแรก ๆ ที่ถูกนำเข้ามาในตลาดก่อสร้างที่อยู่อาศัยโดยบริษัทเอกชน ลักษณะเด่นของระบบนี้ ก็คือ ไม่ได้ทำสำเร็จจากโรงงาน แต่จะตั้งเป็น Built Up Steel ณ ที่ก่อสร้าง และติดตั้งชิ้นส่วนสำเร็จ เช่น คาน พื้น ผนัง เมื่อ ติดตั้งชิ้นส่วนสำเร็จรูป แล้วเสร็จ จึงเทคอนกรีตหุ้มเสา โดยคอนกรีตจะทำหน้าที่ยึดส่วนของ คาน พื้น และ ผนัง เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
ในเบื้องต้นมีการประมาณการกันว่า ระบบก่อสร้างสำเร็จรูปดังกล่าว สามารถ ลดต้นทุน การผลิตลงได้ 10 - 30% และ ช่วยล่นระยะเวลา การก่อสร้างได้ 40% เมื่อเทียบกับการก่อสร้างระบบเดิม หรือก่อสร้างฉาบปูน เมื่อเป็นที่รู้จักระดับหนึ่งแล้ว จากนั้นก็มีระบบก่อสร้างสำเร็จรูปอื่น ๆ เปิดตัวสู่ตลาดตามลำดับ ได้แก่ ระบบกึ่งสำเร็จรูป แบบผนังรับน้ำหนัก (Load Bearing Wall)
จากการศึกษาของสถาบันในประเทศไทย ได้ทำการจัดแบ่งการก่อสร้างด้วยระบบสำเร็จรูป เอาไว้เป็น 3 ประเภท คือ
1. ระบบโมเดล คือที่มีการผลิตชิ้นส่วนเป็นชิ้นเดียว เช่น ที่พักในลักษณะแคปซูลโฮเต็ล บ้านเหล็กหรือตู้คอนเทรนเนอร์ เป็นต้น
2. ระบบเปิด คือ ชิ้นส่วนที่ผลิตเป็นชิ้นๆแยกจากกัน เป็นส่วนๆ เช่น อิฐบล็อกปูถนน หรือ พื้นคอนกรีตสำเร็จรูป ซึ่งการผลิตออกมาขายก็จะไม่ครบทั้งระบบอาคาร แต่เป็นเพียงชิ้นส่วนใดชิ้นส่วนหนึ่งเท่านั้น และ
3. ระบบปิด คือชิ้นส่วน ที่มีรูปแบบเฉพาะสำหรับบริษัทนั้นๆ ไม่มีขนาดมาตรฐาน ส่วนใหญ่จะเป็นการสั่งผลิตโดยตรง
ส่วนใหญ่แล้วระบบสำเร็จรูปมักนิยมนำไปใช้ประกอบการก่อสร้างใน 2 ส่วน คือ ใช้ในส่วนของระบบฐานราก และ ระบบผนังรับน้ำหนัก ซึ่งเหมือนกับการนำผนังมาเป็นเสารับน้ำหนักแทน ขณะที่ความต้องการใช้งานสำเร็จรูปในส่วนวงกบ และพื้นสำเร็จรูปก็มีมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ข้อดีหรือประโยชน์ที่ผู้ซื้อบ้านที่ก่อสร้างโดยระบบสำเร็จรูปได้รับก็คือ ซื้อบ้านได้ราคาที่ถูกลง เพราะการก่อสร้างระบบนี้จะมีต้นทุนต่อตารางเมตรที่ต่ำกว่าการก่อสร้างระบบปกติ ด้วยระยะเวลาการสร้างเสร็จที่เร็วจากเดิม สามารถควบคุมคุณภาพงานก่อสร้างได้ จากการผลิตในแต่ละชิ้นส่วน และมีมาตรฐานการควบคุมงานก่อสร้างเป็นสัดส่วน ทำให้ควบคุมการสร้างให้เป็นไปตามกำหนดเวลาได้ นอกจากนี้ยังช่วยแก้ปัญหาการหยุดชะงักของงานอันเนื่องจากสภาพดินฟ้าอากาศไม่อำนวย
สำหรับข้อเสียของบ้านที่ก่อสร้างโดยระบบนี้ ก็คือ การต่อเติมบ้านในภายหลังทำได้ยาก เพราะหากทำการใด ๆ โดยไม่ใช้ผู้เชี่ยวชาญจะเกิดปัญหารอยร้าว และแตก ในส่วนที่เป็นวัสดุสำเร็จรูปได้ รวมทั้งอาจมีผลกระทบกับโครงสร้างของอาคารได้ ดังนั้นหากบ้านที่สร้างใช้ระบบสำเร็จรูปเมื่อต้องการต่อเติม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรึกษาวิศวกรหรือเจ้าของโครงการ
นอกจากนี้ ยังพบว่าบ้านสำเร็จรูปมีข้อจำกัดเรื่องรูปแบบบ้าน ที่ไม่สามารถพัฒนาให้มีความหลากหลายตามความต้องการของผู้บริโภค เนื่องจากยังติดข้อจำกัดเรื่องขนาดและแบบของแผ่นสำเร็จรูปที่นำมาใช้ จึงทำให้ปัจจุบันมีการนำมาปรับใช้เฉพาะบางส่วนเท่านั้น ยังไม่เป็นบ้านสำเร็จรูป 100% เช่นในต่างประเทศ
ขณะที่การก่อสร้างแบบก่ออิฐฉาบปูน (ระบบดั้งเดิม) จะมีความยืดหยุ่นได้มาก ตลอดจนช่างที่ก่อสร้างจะมีความชำนาญ และเคยชินกับระบบของการก่อสร้างอยู่แล้ว แต่ก็มีข้อเสีย ตรงที่การทำงานของช่างไม่มีมาตรฐานฝีมือที่แน่นอน บางกลุ่มมีความชำนาญ บางกลุ่มไม่มีความชำนาญ ส่งผลให้งานที่ได้ไม่มีคุณภาพ มีปัญหาเรื่องการควบคุมระยะเวลาการก่อสร้าง การตรวจรับรองมอบงานมีความลำบาก
ด้วยเหตุนี้ การก่อสร้างระบบและผนังสำเร็จรูปจึงเป็นอีกทางเลือกที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน ได้แก่ การเป็นฉนวนกันความร้อน , ทนความร้อนและกันไฟได้ถึง 4 ชม. ป้องกันเสียงรบกวนและดูดซับเสียงได้ดี มีน้ำหนักเบาประหยัดโครงสร้างเสา-คานของอาคาร นำไปใช้งานง่าย และมีความรวดเร็วในการก่อสร้างโดยช่างที่ไม่จำเป็นต้องมีทักษะสูง
เมื่อได้ข้อมูลทั้ง 2 ด้านของการก่อสร้างบ้านในระบบสำเร็จรูปและระบบแบบเดิมแล้ว คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้บริโภคว่าจะให้น้ำหนักในด้านใดเป็นพิเศษ เพราะปัจจุบันมีหลายโครงการซึ่งเป็นส่วนใหญ่ที่ยังคงใช้การก่อสร้างระบบเดิมอยู่ ขณะที่มีหลายโครงการเริ่มปรับใช้วัสดุสำเร็จรูปเข้าเป็นส่วนประกอบของบ้านเพื่อหวังจะลดต้นทุนวัสดุก่อสร้างและระยะเวลาการทำงานใด้น้อยลง แต่ประหยัดของผู้ประกอบการกับประหยัดของผู้ซื้อบ้านเป็นคนละมุมกัน ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน ผู้บริโภคควรพิจารณาถึงเทคโนโลยีก่อสร้างควบคู่กับรูปแบบที่นำเสนอ พร้อมประโยชน์ที่จะได้รับสูงสุด
บรรณานุกรม
-แนวทางการซื้อบ้านพิจารณาในด้านรูปแบบและเทคโนโลยีการก่อสร้าง โดย รศ.ดร. บัณฑิต จุลาสัย พ.ศ. 2543
- www.qcon.co.th
25/12/2005
DIY&LIFE STYLE