| freesplans.com | ศูนย์รวมแบบบ้าน และ ตกแต่ง หลากหลายสไตล์
ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป
: : g o  t o  m a i n p a g e : :
สถาปัตยกรรม | ตกแต่งภายใน | ดีไซน์-แกลอรี่ | แบบบ้านสวย | แนะนำ-ติชม | ถาม-ตอบ เรื่องบ้าน | ติดต่อเรา 
ขณะนี้มีผู้ชมอยู่ 36 ท่าน 
FreeSplanS MENU
 

Link to us!!!
Link to US!!!


ข่าวประชาสัมพันธ์ . . .
| Add News |

มาตรการพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนเป็นที่ตั้ง ( 196/0 )
 
จดหมายถึงนายกรัฐมนตรี

เรื่อง

มาตรการพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนเป็นที่ตั้ง

ที่มา: http://www.thaiappraisal.org/Thai/letter/letter14.htm



1 เมษายน 2551



เรื่อง

ขอเสนอมาตรการพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนเป็นที่ตั้ง



กราบเรียน ฯพณฯ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี



อ้างถึง

มติคณะรัฐมนตรีเรื่องมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 มีนาคม 2551

<1>


ปาฐกถาพิเศษของ ฯพณฯ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี <2>



ตามที่รัฐบาลได้ออกมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจด้านอสังหาริมทรัพย์

ตามมติคณะรัฐมนตรีข้างต้น

กระผมใคร่ขอกราบเรียนถึงจุดอ่อนของมาตรการดังกล่าวและขอเสนอความเห็นต่อแนวทาง

การพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยถือเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง

ดังนี้:





1. ความเข้าใจผิดที่นำไปสู่การออกมาตรการ



การออกมาตรการข้างต้นของรัฐบาล คงเกิดจากความเข้าใจผิดบางประการ กล่าวคือ



1.1 ความเข้าใจผิดว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำลงจนต้อง “กระตุ้นเพื่อฟื้นฟู”

แต่ความจริงตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังเฟื่องฟู


จากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ AREA (Agency for Real Estate

Affairs) ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูล

วิจัยและประเมินค่าทรัพย์สินที่มีฐานข้อมูลภาคสนามที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยแล

ะดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2537 นั้นพบว่า เมื่อปี 2550

แม้มูลค่าการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่เปิดตัวใหม่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริ

มณฑล จะใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า (ประมาณเกือบ 190,000 ล้านบาท)

แต่จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยที่เปิดตัวใหม่กลับเพิ่มขึ้นจาก 66,118 เป็น 81,364

หน่วย <3>



ในส่วนของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มหาชนในตลาดหลักทรัพย์

มีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 230,462 ล้านบาทในปี 2549 เป็น 255,113 ล้านบาท

แม้กำไรสุทธิจะลดลงเนื่องจากต้นทุนขายที่เพิ่มขึ้น

แต่ส่วนแบ่งของกำไรขั้นต้นยังเป็น 22% เมื่อเทียบกับปี 2549 ที่ 21% <4>


และดัชนีตลาดหสักทรัพย์ในภาคอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมาก็ไม่ได้แสดงว่าเก

ิดการตกต่ำหรือเกิดวิกฤติแต่ประการใด ยิ่งกว่านั้นในปี 2550

ยังมีการเติบโตเพิ่มขึ้น <5>



1.2 ความเข้าใจผิดว่าอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่เป็น

“เสาหลักของเศรษฐกิจไทย” <6>

จึงให้ความสำคัญเกินจริงจนคาดหวังจะใช้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยพึ่งพาการส่งออก

เป็นด้านรอง แต่ความจริงแล้ว ในผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) ณ ปี 2549

เป็นผลผลิตในส่วนของภาคอสังหาริมทรัพย์เพียง 3.9%

และหากรวมกับภาคการก่อสร้างอีก 2.4% ก็เป็นเพียง 6.3% ของ GDP เท่านั้น

“เสาหลัก” ของเศรษฐกิจไทยที่แท้ คือ ผลผลิตในภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้า

ภาคการขนส่งโทรคมนาคม และภาคการเกษตร ซึ่งมีส่วนใน GDP ถึง 39.2%, 13.8%,

10.1% และ 8.9% ตามลำดับ <7>




กระผมเชื่อว่ารัฐบาลอาจได้ข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง

กล่าวคือตามปาฐกถาของ ฯพณฯ นพ.สุรพงษ์ ที่ว่า หากรวม Linkage Industry

(อุตสาหกรรมต่อเนื่อง) ภาคอสังหาริมทรัพย์อาจมีส่วนแบ่งถึง 20% ของ GDP

โดยเข้าใจว่าหากมีการก่อสร้างที่อยู่อาศัย ย่อมมีการซื้อวัสดุก่อสร้าง

มีกิจกรรมกู้ยืม ฯลฯ ต่อเนื่องกันไป แต่ในความเป็นจริง

ทุกวันนี้หากไม่มีการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่

ก็ยังมีความต้องการวัสดุก่อสร้างจากการก่อสร้างในส่วนอื่นของทั้งภาครัฐและภาค

เอกชน รวมถึงการส่งออกวัสดุก่อสร้าง

และหากผู้ซื้อบ้านสามารถซื้อบ้านมือสองราคาถูก ก็ยังต้องตกแต่งต่อเติมบ้าน

ซื้อเฟอร์นิเจอร์ กู้เงิน ฯลฯ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่องเช่นเดิม



1.3 ความเข้าใจผิดว่าอสังหาริมทรัพย์เป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจ

แต่ความจริงอสังหาริมทรัพย์เป็นเพียงตัวแปรตามภาวะเศรษฐกิจต่างหาก

ในหนังสือเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กระผมนำเสนอต่อรัฐบาล ฯพณฯ

พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2550 <8>


กระผมได้ชี้ให้เห็นว่า อสังหาริมทรัพย์เป็นเครื่องแสดงความมั่งคั่ง

เมื่อเศรษฐกิจดี ประชาชนก็หาซื้ออสังหาริมทรัพย์

(เช่นเดียวกับซื้อทองหรือทรัพย์สินอื่น) ไว้ใช้สอยและลงทุน

แต่หากเศรษฐกิจไม่ดี ก็มักขายทิ้ง (liquidate)

เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายหรือใช้หนี้ เป็นต้น <9>



สหรัฐอเมริกาใช้การส่งเสริมการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยมาเป็นเครื่องกระตุ้นเศ

รษฐกิจ แต่สำหรับประเทศไทย

พบว่าครัวเรือนเจ้าของที่อยู่อาศัยมีส่วนแบ่งสูงถึง 82.4% อยู่แล้ว <10> และ

ฯพณฯ นพ.สุรพงษ์ ได้กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้

อาจช่วยให้ภาคอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างมีส่วนแบ่งใน GDP เพิ่มจาก 6.3% เป็น

6.5-6.7% <11> ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีนัยสำคัญ


ดังนั้นอสังหาริมทรัพย์จึงไม่อาจใช้เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจ



การที่เศรษฐกิจเติบโตในสมัยรัฐบาล ฯพณฯ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร

ไม่ใช่เกิดจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แต่อย่างใด

แต่เป็นเพราะประเทศไทยในช่วงปี 2545-2547

มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สูงเป็นอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัวถึง 7.1%, 10.7% และ 8.2% ในช่วงดังกล่าว

ในขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวเพียง 4.9%, 4.9% และ 6.6%

ในช่วงเวลาเดียวกัน <12> นอกจากนี้ในช่วงปี 2546-2548

การขยายตัวของภาคส่งออกสูงถึง 13.8%, 17.9% และ 13.1% ตามลำดับ <13>

ดังนั้นการพัฒนาเศรษฐกิจให้รุ่งเรือง จึงเป็นหนทางทำให้ประชาชนมีความมั่งคั่ง

และประชาชนก็จะซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นตามมาโดยไม่จำเป็นต้องกระ


ตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ปลายเหตุ





2. ความไม่เหมาะสมของมาตรการ



มาตรการที่ประกาศใช้นั้นไม่เหมาะสม โดยมีรายละเอียดเพื่อ ฯพณฯ

โปรดพิจารณาดังนี้:



2.1 การลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะ จากเดิมที่กำหนดไว้อัตรา 3% เป็นอัตรา 0.1%

สำหรับรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ

จากกิจการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร ทั้งนี้

เฉพาะการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ได้กระทำภายใน

1 ปี นับจากวันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ

ข้อนี้เท่ากับเป็นการส่งเสริมการเก็งกำไรระยะสั้นซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐ

กิจโดยรวม

แต่อาจสร้างปัญหาให้กับธุรกิจพัฒนาที่ดินได้ในกรณีนักเก็งกำไรทิ้งเงินดาวน์

ภาษีธุรกิจเฉพาะมีไว้เพื่อการปรามการเก็งกำไร จึงไม่ควรยกเลิก




ปกติในกรณีการใช้บริการนายหน้า ผู้ซื้อ-ขายก็มักจ่ายค่าธรรมเนียมประมาณ 3%

โดยตลาดก็สามารถยอมรับค่าธรรมเนียมนี้เพราะเป็นการอำนวยความสะดวก

ดังนั้นการที่ต้องเสียภาษีเพียง 3% จึงไม่ควรจะเป็นภาระสำหรับประชาชน

นอกจากนี้ประเทศไทยก็ยังไม่มีภาษีมรดก

และภาษีทรัพย์สินให้เป็นภาระเพิ่มเติมแก่ประชาชนแต่อย่างใด



2.2

การลดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนการโอนและค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์แ

ละห้องชุดพักอาศัยและอาคารสำนักงานไปให้เหลือเพียง 0.01%

สำหรับกรณีสนับสนุนการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์

ข้อนี้เท่ากับว่าทางราชการต้องให้บริการแบบ “ขาดทุน”

เพราะบ้านในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีราคาเฉลี่ยประมาณ 2.61

ล้านบาทต่อหน่วย <14> หากเสียค่าธรรมเนียมเพียง 0.01% ก็เป็นเงินเพียง 261


บาทเท่านั้น ยังอาจไม่คุ้มค่าดำเนินการของทางส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง



การลดการเรียกเก็บค่าธรรมข้างต้นนี้ดำเนินการแต่เฉพาะในโครงการจัดสรร

อาคารชุดหรืออาคารสำนักงานเท่านั้น โดยไม่รวมที่ดินเปล่าในโครงการจัดสรร

และไม่รวมส่วนการจดทะเบียนขายฝาก โอนชำระหนี้

และโอนชำระหนี้จำนองของอสังหาริมทรัพย์ในโครงการจัดสรร

จึงเท่ากับเป็นการเน้นการส่งเสริมโครงการจัดสรรใหม่

การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์อื่นจะไม่ได้รับประโยชน์



โดยสรุปแล้วมาตรการทางด้านภาษีนี้อาจดูคล้ายจะช่วยกระตุ้นความต้องการของผู้ซื

้อได้ส่วนหนึ่ง แต่การตัดสินซื้อของประชาชนขึ้อยู่กับราคา

ทำเลและความจำเป็นของผู้ซื้อเป็นสำคัญ ไม่ได้อยู่ที่การเสียภาษี 3%

ซึ่งเสียเฉพาะในช่วงโอน

ในสหรัฐอเมริกาเจ้าของบ้านต้องเสียภาษีทรัพย์สินประมาณ 1.0% ของมูลค่าทุกปี

<15>

กระผมเห็นว่ารัฐบาลควรส่งเสริมให้ประชาชนทำหน้าที่พลเมืองดีด้วยการเสียภาษีเพ


ื่อพัฒนาชาติ



การลดภาษีนี้ช่วยลดภาระให้ผู้ซื้อทรัพย์สินได้เพียงเล็กน้อย

แต่ช่วยผู้ขายทรัพย์สินได้มาก เพราะปกติผู้ขายเป็นผู้จ่ายภาษีธุรกิจเฉพาะ

ส่วนค่าธรรมเนียมโอน ผู้ขายก็มักให้ผู้ซื้อร่วมรับผิดชอบด้วยครึ่งหนึ่ง

การลดภาษีนี้ยังทำให้ทางราชการขาดรายได้เพื่อนำไปพัฒนาประเทศจำนวนมหาศาล

จะเห็นได้ว่าในปีงบประมาณ 2550 กรมที่ดินจัดเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมได้ประมาณ

50,000 ล้านบาท และถ้าไม่มีการลดค่าธรรมเนียมนี้ น่าจะเก็บได้อีก 60,000

ล้านบาทในปี 2551 <16>



อนึ่งรัฐบาลไม่ควรกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ยังไม่มีแนวโน้มวิกฤติ

เพราะหากในอนาคตเกิดมีวิกฤติจริง ก็คงไม่เหลือมาตรการเหล่านี้มาใช้

ดังนั้นหลังพ้นกำหนด 1 ปีตามประกาศแล้ว

รัฐบาลไม่ควรต่ออายุหรือนำมาตรการข้างต้นกลับมาใช้อีกต่อไป

และนโยบายในอนาคตควรจะให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างทั่วหน้า


ไม่ใช่จำกัดเฉพาะอสังหาริมทรัพย์บางประเภทที่จดทะเบียนการโอนตามวัตถุประสงค์เ

ฉพาะเท่านั้น





3. สิ่งที่ควรดำเนินการ



กระผมใคร่ขอเสนอสิ่งที่รัฐบาลควรดำเนินการเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคหรือประชา

ชนส่วนใหญ่เป็นที่ตั้ง ดังนี้:



3.1 การส่งเสริมการขายบ้านมือสอง

ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีที่อยู่อาศัยราว 4 ล้านหน่วย

จึงมีบ้านมือสองที่รอการขายอยู่จำนวนมาก และยังมีอาคารสร้างค้างจำนวนมหาศาล

ทรัพย์จากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสถาบันการเงิน

รวมทั้งทรัพย์ของกรมบังคับคดีอีกนับแสนรายการ รวมมูลค่านับแสนล้านบาท <17>

สถาบันการเงินต่างยินดีขายทรัพย์เหล่านี้ในราคาต่ำเพื่อลดภาระในการสำรองหนี้


และการส่งเสริมให้คนย้ายเข้าอยู่บ้านมือสองที่ว่างอยู่

ย่อมช่วยทำให้เกิดความเป็นชุมชนที่สามารถดูแลให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น



ทรัพย์สินเหล่านี้โดยเฉพาะทรัพย์จากธนาคารหรือกรมบังคับคดีอาจขายต่ำกว่าราคาใ

นท้องตลาดประมาณ 20-30%

ประชาชนผู้ซื้อบ้านย่อมจะได้ประโยชน์มากกว่าการลดภาษีและค่าธรรมเนียมโอนเพียง

3% เงินที่ประชาชนประหยัดได้นี้

ก็สามารถนำไปจับจ่ายใช้สอยก่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในวงกว้างได้อีกม

หาศาล รัฐบาลจึงควรส่งเสริมการนำทรัพย์สินเหล่านี้ออกมาขายอย่างมีประสิทธิภาพ

<18>



3.2 การเสริมความเชื่อมั่นต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์

รัฐบาลสามารถส่งเสริมให้มีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ให้มากขึ้นจริง

ด้วยการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคว่าเมื่อซื้อบ้านแล้วจะได้บ้านจริงตามพ

ระราชบัญญัติการจัดการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (Escrow Account) <19>


อย่างไรก็ตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ออกมาในลักษณะที่ไม่บังคับใช้

แต่ให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายตกลงใช้ Escrow Account ตามใจสมัคร

แม้ผู้ซื้อบ้านต้องการทำ Escrow Account แต่หากผู้ประกอบการไม่ยินดี

ก็ไม่อาจทำได้



การปรับใช้ Escrow Account อาจทำให้ต้นทุนสูงขึ้นเพียงเล็กน้อย

แต่ถือเป็นการให้หลักประกันแก่ผู้บริโภคตามมาตรฐานสากลของระบบการซื้อขายโดยเฉ

พาะอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง จึงควรเคร่งครัดให้ถือปฏิบัติโดยทั่วหน้า



3.3 การส่งเสริมการพัฒนาสาธารณูปโภคขนาดใหญ่

โดยเฉพาะระบบขนส่งมวลชนและทางด่วน ซึ่งถือสิ่งที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรง

และจะมีผลในระยะยาว เป็นทั้งการดึงเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา

และทำให้เกิดการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อสร้างสาธารณูปโภคอันเป็นทุนของประเทศในอน

าคต ซึ่งต่างจากการกระตุ้นการใช้สอยของปัจเจกบุคคลเท่านั้น



กระผมเคยนำเสนอข้อค้นพบว่าต้นทุนค่าขนส่งของไทยสูงถึง 19% ของ GDP ซึ่งสูงมาก

<20> ประเทศไทยจึงใช้น้ำมันถึง 38% ไปในการเดินทาง-ขนส่ง


(ในขณะที่ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาใช้เพียง 25% และ 27%)

ในขณะที่ประเทศไทยมีทางด่วนเพียง 450 กิโลเมตร มีรถไฟเพียงระยะทาง 4,129

กิโลเมตรและมีรถไฟฟ้าในระยะทางเพียง 43 กิโลเมตรเท่านั้น

การส่งเสริมการพัฒนาสาธารณูปโภคจึงจะช่วยพัฒนาชาติ

โดยช่วยลดความสูญเสียจากระบบคมนาคมขนส่งที่ขาดประสิทธิภาพ

เป็นกระตุ้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันกับต

่างประเทศ



อย่างไรก็ตามการสร้างรถไฟฟ้าไปชานเมือง อาจมีข้อจำกัดสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

ก็คือค่าโดยสาร สำหรับเส้นทางระยะสั้นในปัจจุบัน ค่าโดยสารยังเป็นเงินประมาณ

40 บาท หากมีรถไฟฟ้าไปชานเมืองไกล ๆ อาจเสียค่าบริการนับร้อยบาทต่อเที่ยว

อาจทำให้ผู้ซื้อบ้านไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายนี้ได้

ส่งผลให้รถไฟฟ้าดังกล่าวอาจมีผู้ใช้บริการน้อย และไม่อาจดำเนินการได้จริง

ดังนั้นรัฐบาลจึงควรพัฒนารถไฟฟ้าในเขตเมืองมากกว่า

การทำให้กรุงเทพมหานครมีความหนาแน่นขึ้น เพื่อประหยัดต้นทุนในการเดินทาง

จะทำให้กรุงเทพมหานครไม่ขยายออกสู่ชานเมืองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

และในอีกทางหนึ่งก็ควรพัฒนาทางด่วนออกสู่ชานเมือง


เพราะบนทางด่วนยังสามารถให้บริการรถประจำทาง ซึ่งมีค่าโดยสารถูกว่ารถไฟฟ้า



3.4 การส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ

ประเทศไทยที่เจริญรุ่งเรืองในปัจจุบันล้วนเกิดจากการลงทุนจากต่างประเทศเป็นสำ

คัญโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม

ดังนั้นรัฐบาลควรสนับสนุนการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเพื่อการสร้างงานในประเทศแล

ะการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก

โดยเชิญนักลงทุนต่างชาติมาลงทุนโดยให้เช่าที่ดินระยะยาวในราคาถูก

ภูมิภาคเศรษฐกิจภาคตะวันออกของไทยที่มีการเติบโตต่อเนื่องแม้ในช่วงวิกฤติปี

2540

ก็เป็นเพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตอุตสาหกรรมส่งออกสำคัญของประเทศนั่นเอง



อย่างไรก็ตามรัฐบาลไม่ควรให้ต่างชาติซื้อหรือให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ระยะยาวเก

ินกว่าที่กฎหมายปัจจุบันกำหนด

กระผมเคยทำหนังสือถึงรัฐบาลคัดค้านเรื่องดังกล่าว <21> ไว้ดังนี้:




3.4.1 จากที่กระผมได้ข้อมูลจากจากประเทศต่าง ๆ

หลายประเทศก็ไม่จำเป็นต้องจูงใจต่างชาติด้วยการให้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน

ในการเจรจาการค้า FTA ทั่วโลก

ก็ไม่ได้ระบุให้การถือครองกรรมสิทธิ์เป็นประเด็นการเจรจาด้วย



3.4.2 ต่างชาติที่คิดจะมาลงทุนในประเทศไทยมีหนทางการลงทุนมากมาย เช่น

การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์

ซึ่งมีความเสี่ยงน้อยกว่าการซื้อที่ดินที่จำหน่ายออกได้ยากในยามจำเป็น

ดังนั้นต่างชาติที่คิดจะมาลงทุนในที่ดินโดยตรงจึงมีเป็นส่วนน้อย



3.4.3 ต่างชาติที่สนใจมาซื้อที่ดินโดยไม่ทำการผลิตใด ๆ ถือเป็นการเก็งกำไร

ซึ่งไม่เป็นผลดีกับประเทศชาติ

และถือเป็นการร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำผิดกฎหมาย



3.4.4

การลงทุนในกิจการอุตสาหกรรมหรือพาณิชยกรรมสำคัญมักคุ้มทุนภายในระยะเวลาไม่เกิ


น 10-20 ปี ที่ดินก็เป็นเพียงต้นทุนเล็กน้อยเท่านั้น

จึงไม่จำเป็นต้องให้ต่างชาติถือกรรมสิทธิ์



3.4.5 การที่ต่างชาติจะมาลงทุนในไทยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ

ในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดี ต่างชาติก็ไม่มาลงทุน แต่หากเศรษฐกิจดี เช่น

ประเทศอินโดจีนแม้ไม่ให้ต่างชาติไปซื้อที่ดิน

แต่ก็มีต่างชาติไปลงทุนจำนวนมหาศาล

เพราะมีโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนและราคาทรัพย์สินจะเพิ่มขึ้น

และเพื่อความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติ

รัฐบาลควรกำหนดนโยบายให้ชัดเจนเกี่ยวกับการเช่าอสังหาริมทรัพย์ของต่างชาติ

นโยบายเกี่ยวกับนอมินี

รวมทั้งการสำรวจการครอบครองอสังหาริมทรัพย์โดยผิดกฎหมายอันเกิดจากความร่วมมือ

ของข้าราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อดำเนินการให้ชัดเจน



3.5 การพัฒนาและควบคุมนักวิชาชีพ

ในประเทศไทยยังไม่มีการควบคุมนักวิชาชีพด้านอสังหาริมทรัพย์ เช่น นายหน้า

ผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน ผู้บริหารทรัพย์สิน นักรังวัดเอกชน ผู้ตรวจสอบอาคาร


เป็นต้น การพัฒนาและควบคุมนักวิชาชีพ

เป็นการคุ้มครองและสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าและบริ

การด้านอสังหาริมทรัพย์

และช่วยลดโอกาสที่ผู้บริโภคจะถูกโกงจากผู้ค้าหรือแม้แต่นักวิชาชีพเองให้น้อยล

งโดยอาศัยระบบตรวจสอบและควบคุมที่มีประสิทธิภาพ

หากผู้ซื้อบ้านมีความเชื่อมั่น

ก็ย่อมกระตุ้นการซื้อบ้านมากขึ้นโดยไม่ต้องกระตุ้นด้วยมาตรการภาษี



ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย

ต่างมีระบบการควบคุมนักวิชาชีพมานานก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2540 แล้ว

ประเทศในอินโดจีน เช่น เวียดนามซึ่งกระผมเคยเป็นที่ปรึกษากระทรวงการคลัง

เวียดนาม และกัมพูชาซึ่งกระผมได้ไปสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ภาคสนามต่อเนื่อง

ก็ทำการควบคุมนักวิชาชีพโดยเคร่งครัดแล้ว

การพัฒนาและควบคุมนักวิชาชีพเป็นการแสดงความตั้งใจจริงว่ารัฐบาลให้ความสนใจจร

ิงจังกับการดูแลผลประโยชน์ของประชาชนส่วนรวม

รัฐบาลจึงควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ




3.6 การส่งเสริมการให้ความรู้แก่ประชาชนเรื่องอสังหาริมทรัพย์

โดยประเด็นสำคัญในการให้ความรู้ก็คือการให้ข้อมูลแก่ประชาชนอย่างถูกต้อง

เป็นกลาง ตรงไปตรงมาและยึดประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคเป็นที่ตั้งเท่านั้น

เพื่อให้ประชาชนทราบความจริงก่อนการตัดสินใจด้วยวิจารณญาณที่ดี

ข้อมูลที่จัดทำโดยทางราชการต้องให้ทุกฝ่ายเข้าถึงอย่างเท่าเทียมกัน

และในปริมาณเท่ากัน ณ ห้วงเวลาเดียวกัน

เพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการ

และไม่ให้ผู้บริโภคเสียเปรียบผู้ประกอบการ เป็นต้น





4. การฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน



รัฐบาลควรยึดถือประชาชนเป็นที่ตั้งด้วยการอำนวยประโยชน์ต่อผู้ซื้ออสังหาริมทร

ัพย์ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่อันประกอบด้วยข้าราชการ

พ่อค้าและประชาชนทั่วไปในทุกสาขาวิชาชีพและทุกวงการ

การที่รัฐบาลจะออกมาตรการใด ๆ จึงควรปรึกษาจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย

แม้ผู้แทนจากสมาคมผู้ประกอบการพัฒนาที่ดินจะเป็นผู้รอบรู้ในวงการ


แต่บริษัทพัฒนาที่ดินที่มีอยู่หลายพันแห่งทั่วประเทศ ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้เป็น

สมาชิก <22>

สมาคมจึงอาจยังไม่สะท้อนความเห็นที่ครอบคลุมความต้องการของผู้ประกอบการส่วนให

ญ่



ในประเทศไทยมีสมาคมและองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์เกือบ 30

แห่ง ซึ่งควรได้รับเชิญมาปรึกษาเพื่อการนี้ องค์กรเหล่านี้ประกอบด้วย

ผู้รับเหมา สถาปนิก วิศวกร นายหน้า นักผังเมือง ผู้บริหารทรัพย์สิน

ผู้ประเมินค่าทรัพย์สินและนักวิชาชีพอื่น <23>

นอกจากนี้ยังอาจเชิญผู้แทนผู้ซื้อบ้าน

อันได้แก่นิติบุคคลบ้านจัดสรรและนิติบุคคลอาคารชุดทั้งหลายมาร่วมระดมสมอง

รวมทั้งผู้แทนสมาคมวิชาชีพหรือสมาคมธุรกิจหรืออุตสาหกรรมอื่นในฐานะตัวแทนของผ

ู้บริโภคอีกด้วย กระผมเชื่อว่า


การระดมความคิดที่กว้างขวางอย่างเพียงพอถือเป็นการวิจัยสำคัญที่จะทำให้รัฐบาล

สามารถบัญชาให้มีมาตรการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ได้มากกว่าการได้รั

บข้อมูลจากผู้เกี่ยวข้องเพียงบางส่วน



โดยนัยนี้สภาที่อยู่อาศัย สภาอสังหาริมทรัพย์

หรือคณะกรรมการนโยบายที่อยู่อาศัยที่รัฐบาลหลายชุดดำริจะจัดตั้งขึ้น

จึงไม่ควรมีเฉพาะผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นสำคัญ

แต่ควรมีองค์ประกอบซึ่งรวมนักวิชาชีพที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ

ตลอดจนผู้แทนสมาคมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องด้วย

เพื่อให้เป็นองค์กรที่รัฐบาลสนับสนุนให้จัดตั้งและดำเนินการไปเพื่อผลประโยชน์

ของประชาชนเป็นที่ตั้ง <24>



จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา



ขอแสดงความนับถือ


(ดร.โสภณ พรโชคชัย)*



* กระผมเป็นผู้ประเมินค่าทรัพย์สินและนักวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์

เป็นประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย

อุปนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์นานาชาติ (FIABCI Thailand) ผู้แทน FIABCI ใน

UN-ESCAP ผู้แทนสมาคมประเมินค่าทรัพย์สินนานาชาติ IAAO ประจำประเทศไทย

กรรมการสาขาอสังหาริมทรัพย์ สาขาจรรยาบรรณ

และสาขาเศรษฐกิจพอเพียงของหอการค้าไทย และที่ปรึกษา the Appraisal Foundation

ซึ่งเป็นองค์กรควบคุมวิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สินที่จัดตั้งโดยสภาคองเกรสแห่งส

หรัฐอเมริกา





หมายเหตุ

<1> โปรดดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่

http://media.thaigov.go.th/sitedirectory/471/2027/2027_59289_04%2003%2051.doc


และหนังสือของกรมที่ดินถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ สรุป

“แนวทางปฏิบัติในการลดค่าธรรมเนียมและค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ

ตามมาตรการสนับสนุนการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์” ลว.31 มีนาคม 2531

http://www.dol.go.th/lo/smt/practice/march-51/8684.pdf



<2> สรุป ปาฐกถาพิเศษของ ฯพณฯ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในงานสัมมนา อสังหาริมทรัพย์

ดัชนีหลักชี้เศรษฐกิจ 2008 ที่

http://media.thaigov.go.th/pageconfig/viewcontent/viewcontent1.asp?pageid=471&directory=1781&contents=17233

และแถบเสียง/วีดีทัศน์ ที่

http://www.mof.go.th/mof_speech/New/index_sp.html



<3> โปรดดูการแถลงข่าว “ภาวะตลาดที่อยู่อาศัย 2551: AREA’ FORECAST &


WARNING” http://www.area.co.th/THAI/area_announcement14.htm

Click ดูภาพกราฟที่นี่:

http://www.thaiappraisal.org/images/clip_image002_0034.jpg



<4> โปรดดูรายละเอียดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ที่

http://www.set.or.th/th/market/files/industry/year_2550_T.xls



<5> โปรดดูกราฟดัชนีหุ้นอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้ตกต่ำในรอบ 4

ปีที่ผ่านมาและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในปี 2550:

Click ดูภาพกราฟที่นี่:

http://www.thaiappraisal.org/images/clip_image002_0035.jpg




<6> ตามปาฐกถาของ ฯพณฯ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดูอ้างอิงที่ <2> ข้างต้น



<7> โปรดดูตาราง GDP

ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดังต่อไปนี้:

Click ดูภาพกราฟที่นี่:

http://www.thaiappraisal.org/images/clip_image002_0017.gif



<8> โปรดดูรายละเอียดหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ที่


http://www.thaiappraisal.org/Thai/letter/letter12.htm



<9> โปรดดูรายละเอียดในบทความของ ดร.โสภณ พรโชคชัย เรื่อง

“วงจรชีวิตตลาดที่อยู่อาศัยไทย” ใน วารสารธนาคารอาคารสงเคราะห์ ปีที่ 9

ฉบับที่ 47 ตุลาคม-ธันวาคม 2549 หน้า 38-43



<10> ข้อมูลการสัมมโนประชากร พ.ศ. 2543

http://service.nso.go.th/nso/g_service/cencus/c_popindwk.html



<11> ตามปาฐกถาของ ฯพณฯ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดูอ้างอิงที่ <2> ข้างต้น




<12> โปรดดูตารางในอ้างอิงที่ 7 ข้างต้น



<13> โปรดดูตาราง ดุลการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 – 2550 ที่

http://service.nso.go.th/nso/nso_center/project

/table/files/0300500/2550/000/00_0300500_2550_000_000000_00100.xls



<14> ข้อมูลการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจำนวน

378,226 หน่วย ณ สิ้นปี 2550 โดย ศูนย์ข้อมูล วิจัยและประเมินค่าทรัพย์สิน

AREA (Agency for Real Estate Affairs: www.area.co.th)




<15> อย่างไรก็ตามในแต่ละมลรัฐอาจมีความแตกต่างกันในอัตราภาษี

โปรดดูรายละเอียดที่

http://articles.moneycentral.msn.com/Taxes/Advice/PropertyTaxesWhereDoesYourStateRank.aspx



<16> รายได้ของกรมที่ดิน ณ ปีงบประมาณ 2550 ดูที่

http://www.dol.go.th/plan/stat_all/stat-1049-sep50/report0950.htm

ส่วนรายได้ใน 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน 14,983 ล้านบาท

(http://www.dol.go.th/plan/stat_all/stat-1050-1250/report1250.htm)

หรือหากประมาณการทั้งปีคงเป็นเงิน 59,932 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้น



<17> ทรัพย์สินขายทอดตลาดที่ยังค้างดำเนินการของกรมบังคับคดี มีจำนวน 121,528


คดี รวมมูลค่า (ขั้นต่ำ) 142,727 ล้านบาท ณ ปีงบประมาณ 2550

อย่างไรก็ตามส่วนหนึ่งอาจไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์ โปรดดูรายละเอียดที่

http://www.led.go.th/vichakarn/pdf/06.pdf



<18>

การจัดทำศูนย์ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์โดยการประมูลอย่างมีประสิทธิภาพโดยการประ

เมินค่าทรัพย์สินที่เป็นกลาง

การประชาสัมพันธ์ให้กว้างขวางให้เกิดการประมูลที่เป็นอิสระ

และการทำให้ทรัพย์สินปลอดการครอบครองก่อนการประมูล กระผมได้นำเสนอแก่รัฐบาล

ฯพณฯ พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2544 โปรดดูที่

http://www.thaiappraisal.org/Thai/letter/letter04.htm



<19> ผู้เขียนนำเสนอเรื่องนี้ต่อ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีหลายท่านตั้งแต่นายชวน

หลีกภัย (http://www.thaiappraisal.org/Thai/letter/letter01.htm)


และท่านอื่น ๆ โปรดดูรายละเอียด ร่างพระราชบัญญัติ

“การจัดการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา หรือ (Escrow Account)” ได้ที่

http://www.home.co.th/w_homesmilesclub/law_detail.asp?NewsID=10234



<20> ดร.โสภณ พรโชคชัย “สาธารณูปโภคไทย ฤาต้องคำสาป” ประชาชาติธุรกิจ 5-7

มีนาคม 2550 หน้า 12



<21> หนังสือของ ดร.โสภณ พรโชคชัย ถึง ฯพณฯ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร

นายกรัฐมนตรี ลว. 29 มกราคม 2545

(http://www.thaiappraisal.org/Thai/letter/letter05.htm) และโปรดดูบทความ

ดร.โสภณ พรโชคชัย “ต่างชาติกับที่ดินไทย: ไม่ต้องให้ซื้อ” ใน


อาคารที่ดินอัพเกรด 12-19 มีนาคม 2550 หน้า 63-64 และโพสต์ทูเดย์ 28

กุมภาพันธ์ 2550 หน้า A13



<22> จากการสำรวจของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ AREA

พบว่ามีโครงการที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลประมาณ 1,200 โครงการ

รวมจำนวนบริษัทพัฒนาที่ดินที่ไม่ได้อยู่ในเครือเดียวกันประมาณ 700-800 ราย

และหากนับรวมบริษัทพัฒนาที่ดินทั่วประเทศอาจมีอยู่มากกว่า 2,000 บริษัท

แต่สมาชิกของสมาคมผู้ประกอบการพัฒนาที่ดินทั้งสามแห่งมีจำนวนสมาชิกจำนวนไม่กี

่ร้อยแห่งเท่านั้น



<23> องค์กรที่เกี่ยวข้องในวงการอสังหาริมทรัพย์ประกอบด้วย นักพัฒนาที่ดิน

(1. สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย 2.สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร 3.สมาคมอาคารชุดไทย

4.สภาที่อยู่อาศัย 5.คณะกรรมการหอการค้า สาขาอสังหาริมทรัพย์


6.สมาคมอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่-ลำพูน 7.ชมรมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต

8.ชมรมอสังหาริมทรัพย์หาดใหญ่ 9.ชมรมอสังหาริมทรัพย์นครราชสีมา

10.ชมรมอสังหาริมทรัพย์ขอนแก่น) ภาคก่อสร้าง (11.สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน

12.สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยฯ 13.สมาคมสถาปนิกสยามฯ

14.วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย 15.สภาสถาปนิก 16.สภาวิศวกร) สถาบันการเงิน

(17.สมาคมธนาคารไทย 18.สมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย) นักวิชาชีพ

(19.สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ 20.สมาคมการตลาดและการขายอสังหาริมทรัพย์

21.สมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย 22.สมาคมนักประเมินราคาอิสระไทย

23.มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย

24.สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย 25.สมาคมบริหารบ้านจัดสรรและอาคารชุด

26.สมาคมนักผังเมืองไทย 27.สมาคมอสังหาริมทรัพย์นานาชาติ) ผู้บริโภค

(28.มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค) เป็นต้น



<24> โปรดอ่านบทความ สภาอสังหาริมทรัพย์ไทย ตั้งไปทำไม ในฐานเศรษฐกิจ ปีที่

24 ฉบับที่ 1,962 วันที่ 2-4 ธันวาคม 2547 หน้า 45-46 และวันที่ 5-8 ธันวาคม


2547 หน้า 34-35 ที่ http://www.thaiappraisal.org/Thai/Market/Market63.htm





รวมจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีชวน-ทักษิณ-สุรยุทธ์-สมัคร

http://www.thaiappraisal.org/Thai/letter/letter.htm



  
ที่มา
[ Thaiappraisal.org ]  
-




 


Follow Me on Pinterest
Follow Me on Twitter


 
Copyright 2002 freesplans Design solution, Inc.