Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
"ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง" หลากทรรศนะเอกชนก่อนบังคับใช้ปี′60 |
|
ใกล้เข้ามาทุกทีสำหรับกฎหมายใหม่
"ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ..." ล่าสุด
อยู่ในขั้นตอนเวียนหนังสือจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และกระทรวงการคลังเตรียมเสนอสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ภายในเดือน ต.ค.นี้ หลัง
สนช.บรรจุวาระและเริ่มพิจารณาร่างกฎหมาย คาดว่าใช้เวลา 30-60
วันจนกว่าจะประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมภาคเอกชน
ทางสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจึงได้จัดสัมมนา "ข้อควรรู้เกี่ยวกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่"
เพื่อระดมความคิดเห็นจากภาคเอกชนเป็นข้อเสนอแนะส่งให้กับกระทรวงการคลังและ สนช.
ใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา โดยมีตัวแทนภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมอย่างคับคั่ง
นิยามที่ดินเปล่าต้องชัดเจน
ในที่ประชุมพบว่าประเด็นที่ต้องการความชัดเจนมากที่สุดคือที่ดินรกร้างว่างเปล่าว่ากำหนดนิยามอย่างไรเนื่องจากเกรงว่าจะมีการหลีกเลี่ยงภาษีที่ดินฯด้วยการปรับเป็นพื้นที่เกษตรกรรมเพราะเสียภาษีอัตราต่ำกว่ามากทา
ง"สุมาลี สถิตชัยเจริญ"ผู้อำนวยการนโยบายภาษี สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
ชี้แจงว่าในกฎหมายหลักมีการระบุกว้างๆ
ว่าการทำเกษตรกรรมมีประเภทใดบ้าง
ส่วนกฎหมายลูกกำหนดให้พื้นที่เกษตรกรรมต้องเข้าเกณฑ์ ดังนี้
1.เป็นพื้นที่ทำเกษตรกรรม 100% หรือ 2.เป็นพื้นที่เกษตรกรรม 75% ของแปลง อีก 25% เป็นที่อยู่อาศัย
นอกเหนือจากนี้คิดภาษีตามสภาพการใช้งานจริง โดยอาจมีระเบียบเพิ่มเติมกำหนดสภาพการทำเกษตรกรรมเป็นอย่างไร
เช่น การเว้นช่องว่างระหว่างต้นไม้ การใช้งานที่ดินตามสมควรของทำเล
เรื่องเดียวกันนี้
"กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์" ประธานคณะกรรมการกฎหมายภาษีและกฎระเบียบ สภาหอการค้าฯ
มือเซียนด้านกฎหมายภาษีของประเทศไทย นำเสนอเพิ่มเติมว่า ควรนิยามที่ดินรกร้างด้วยว่า
หากมีการใช้ประโยชน์สัดส่วนกี่เปอร์เซ็นต์ของแปลงแล้วถือว่าไม่ใช่ที่ดินรกร้างว่างเปล่า
เพื่อให้นิยามชัดเจนขึ้น
ถกบ้านหลังแรก-หลังสอง
"กิติพงศ์"
ชำแหละร่างกฎหมายภาษีที่ดินฯ เพิ่มเติมว่า เกณฑ์การเก็บภาษีบ้านหลังแรกราคา 50 ล้านบาทขึ้นไป
แต่บ้านหลังที่สองเรียกเก็บตั้งแต่บาทแรกค่อนข้างมีความเหลื่อมล้ำ ยกตัวอย่าง นาย A มีบ้านหลังเดียวราคา
10 ล้านบาท ไม่ต้องเสียภาษีที่ดินฯเปรียบเทียบกับนาย B มีบ้าน 2 หลัง หลังละ 5 ล้านบาท
ต้องเสียภาษีที่ดินฯ
แม้มีรายได้ระดับเดียวกัน
สอดคล้องกับความเห็นผู้เข้าร่วมสัมมนารายหนึ่งกล่าวเช่นกันว่า
ตนมีกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย 3 หลัง ใช้อยู่อาศัยเอง 1 หลัง อีก 2 หลังเป็นที่อยู่ของบุตรหลาน
มองว่ากฎหมายค่อนข้างไม่ยุติธรรมเพราะที่อยู่อาศัยหลังที่ 2-3
ก็ใช้เป็นที่อยู่อาศัยจริงเช่นกัน
เรื่องเดียวกันนี้มองจากมุมนักพัฒนาที่ดิน "อธิป
พีชานนท์" กรรมการ บมจ.ศุภาลัย ในฐานะนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร แสดงข้อคิดเห็นว่า
กฎหมายมีความซับซ้อนเกินไป หากเลือกเก็บภาษีบ้านทุกหลังในอัตราเดียวกันไม่ว่าจะเป็นบ้านหลังแรกหรือไม่
และไม่กำหนดข้อยกเว้นให้สำหรับบ้านราคาไม่เกิน 50 ล้านบาท
น่าจะทำให้สังคมเกิดข้อกังขาน้อยกว่านี้
ขอลดหย่อนพื้นที่รอนสิทธิ์
"อธิป"มีข้อเสนอแนะว่าขอให้พิจารณาลดหย่อนภาษีประเภทที่ดินรกร้างว่างเปล่าให้กับที่ดินบางประเภทที่ใช้ประโยชน์ได้ยากเพราะอัตราจัดเก็บ
1-5% เป็นภาระให้กับเจ้าของที่ดินอย่างมาก มี 3 ประเภท ได้แก่ 1.ที่ดินตาบอด
2.ที่ดินที่ถูกรอนสิทธิ์การพัฒนา เช่น
พื้นที่บางกระเจ้าไม่อนุญาตให้พัฒนาโครงการจัดสรรจากข้อกำหนดผังเมือง
3.ที่ดินในโซนฟลัดเวย์หรือพื้นที่ที่เป็นทางไหลของน้ำ
นอกจากนี้ ยังเสนอแนวคิดใหม่ว่า
พื้นที่หนาแน่น เช่น สีลม รัฐอาจตั้งเกณฑ์พื้นที่ว่างเปล่า 5%
เพื่อดูว่าหากมีพื้นที่ว่างเปล่าเกินกว่านี้ให้เก็บภาษีตามปกติ
แต่หากมีน้อยกว่านี้ควรให้โบนัสด้วยการเก็บภาษีในอัตราลดหย่อน
เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เจ้าของที่ดินใช้ประโยชน์ในภาพรวม อาทิ เป็นพื้นที่สีเขียว จุดรับน้ำ
เพิ่มพื้นที่ระบบนิเวศให้กับเมือง เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวสอบถามเพิ่มเติมกับ "ผอ.สุมาลี"
ได้รับคำชี้แจงประเด็นที่ดินถูกรอนสิทธิ์ว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
เป็นผู้จัดเก็บโดยอ้างอิงมูลค่าทรัพย์สินตามราคาประเมินที่ดินรายแปลงหรือรายบล็อกของกรมธนารักษ์
ซึ่งมีหลักการที่ดินถูกรอนสิทธิ์ราคาจะลดลงเพราะด้อยศักยภาพอยู่แล้ว
เชื่อว่าเป็นราคาที่เหมาะสมตั้งแต่ต้นทาง
โวยวิบากกรรมชนชั้นกลาง
ด้าน
"ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต" นายกสมาคมอาคารชุดไทย เสนอแนะดังนี้
1.ขอให้รัฐลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเป็นอัตราคงที่ จากเดิมค่าโอน 2% ค่าจดจำนอง 1%
เพราะมองว่าผู้ซื้อรับภาระภาษีมากเกินจำเป็น ตั้งแต่ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา, ค่าโอน, ค่าจดจำนอง
หากขายอสังหาฯ ออกไปมีภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% ด้วย ดังนั้น หากรัฐต้องการเก็บภาษีที่ดินฯ
ควรลดหย่อนค่าธรรมเนียมอื่น ๆ
ชดเชย
2.กรณีซื้อคอนโดมิเนียมนำมาปล่อยเช่าขอให้จัดเก็บประเภทบ้านหลังที่สอง (เริ่ม 0.03%
หรือล้านละ 300 บาท) แทนการกำหนดจัดเก็บประเภทพาณิชยกรรม (เริ่ม 0.3% หรือล้านละ 3,000 บาท)
เนื่องจากมีข้อวิตกว่าการตรวจสอบห้องชุดปล่อยเช่าหรือไม่เปิดช่องเจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจสูงมาก
อาจเป็นช่องทางให้เกิดการคอร์รัปชั่น 3.ลดภาระให้เอสเอ็มอีสำหรับการเสียภาษีอาคารพาณิชย์มูลค่าต่ำกว่า
20 ล้านบาท ซึ่งรัฐเรียกเก็บประเภทพาณิชยกรรม มีภาระภาษีเริ่มต้น 0.3% โดยเสนอให้ลดหย่อนเหลือ
0.05-0.2%
4.การลดหย่อนภาษีที่ดินระหว่างการพัฒนาโครงการของผู้ประกอบการ เหลือ 0.05% 3 ปี
หลังได้รับใบอนุญาตจัดสรรหรือใบอนุญาตก่อสร้าง เสนอให้ขยายเวลา แบ่งเป็นแนวราบ 5 ปี แนวสูง 7 ปี
เมกะโปรเจ็กต์ 10 ปี เพราะเวลา 3 ปีไม่สามารถก่อสร้างและปิดการขายได้ทัน 5.ภายในเวลาที่กำหนด
หากเอกชนยังมีหน่วยเหลือขายในโครงการ เสนอให้รัฐเก็บภาษีบ้านหลังที่สอง
ทดแทนการจัดเก็บประเภทพาณิชยกรรม
"กฎหมายฉบับนี้จุดชนวนหลายอย่างในสังคมและเศรษฐกิจ
ถือเป็นวิบากกรรมชนชั้นกลางต้องรับภาระหนักมาก
จึงอยากให้บรรเทาภาระเพื่อไม่ให้คนกลุ่มนี้จ่ายภาษีหลายเด้ง" คำกล่าวของประเสริฐ |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 25-10-2559
|
|
|
|
|