Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
อสังหาฯหลังประชามติ (4) ลูกค้ายังติดล็อก "กู้ไม่ง่าย-กู้ไม่ผ่าน" |
|
บรรยากาศการทำธุรกิจหลังจากโหวตประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ 61% แม้มีเหตุลอบวางเพลิง-ระเบิดขึ้นประปราย แต่ในเมื่อรัฐบาล คสช.ควบคุมสถานการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปกติ สำหรับผู้ประกอบการส่วนใหญ่ประเมินทิศทางและแนวโน้มครึ่งปีหลังไปในทางบวก รวมทั้ง "พี่หมี-อนงค์ลักษณ์ แพทยานันท์" กรรมการผู้จัดการค่ายเจ้าพระยามหานคร หรือ CMC Group บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าสู่สังเวียน 22 ปีเต็ม
สำหรับ CMC เฉลี่ยการลงทุนต่อปีอยู่ที่ "...เราพยายามผลักดัน 3-4 โครงการเปิดใหม่ ให้รับรู้รายได้ต่อเนื่อง"
ปัจจุบันมีแบรนด์คอนโดมิเนียม 3 แบรนด์หลัก ประกอบด้วย "ชาโตว์ อิน ทาวน์" เริ่ม 1.9 ล้านบาทขึ้นไป, "บางกอก ฮอไรซอน" เริ่ม 2 ล้านต้น ๆ ใกล้เคียงกับชาโตว์ฯ แตกต่างตรงที่ชาโตว์ อิน ทาวน์เป็นคอนโดฯโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น ส่วนฮอไรซอนออกแบบเป็นตึกสูงหรือไฮไรส์ ล้อไปตามแบรนด์, แบงค็อก เฟลิช ราคาเริ่ม 2.7-2.9 ล้านบาท
อย่างที่รู้กันอยู่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่องมาหลายปี ถามว่าทำธุรกิจพัฒนาที่ดินเหนื่อยบ้างหรือเปล่ายุคนี้ "เหนื่อยตั้งแต่ปีที่แล้วเพราะการแข่งขันสูงขึ้นในย่านเดียวกัน ทำเลเดียวกัน"
ประเด็นของ CMC เป็นบริษัทอสังหาฯขนาดกลาง และให้นิยามว่าบริษัทมีความเชี่ยวชาญคอนโดฯเกาะแนวรถไฟฟ้า น่าสนใจว่าสูตรที่จะมาแข่งขันแนวรถไฟฟ้า เพราะยิ่งนานก็ยิ่งแพง แต่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักเกาะกลุ่มราคาเริ่มต้น 1.9-2.9 ล้านบาทเท่านั้น คำเฉลยก็คือ ในกรุงเทพฯยังมีสถานีเปิดใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
"สายสีม่วง หรือสีอื่น ๆ แค่มีข่าวก็ขาย (อสังหาฯ) ได้แล้ว ครึ่งปีหลังเตรียมเปิด 4 โครงการ ที่รามคำแหง จรัญสนิทวงศ์ ปิ่นเกล้า บางนา"
ที่แน่ ๆ ตลาดที่ไม่ไปลงทุนคือทำเลต่างจังหวัด มองว่าบริษัทไม่มีความชำนาญ แม้กระทั่งในเขตกรุงเทพฯเองก็ออกไปชานเมืองไม่เยอะมากนัก
"พี่หมี-อนงค์ลักษณ์" มองแนวโน้มหลังการลงประชามติว่าครึ่งปีหลังที่เหลือบรรยากาศน่าจะดีขึ้น เพราะ (การเมืองภายใน) มีความเสถียร นโยบายรัฐบาลก็มีทิศทางแน่นอน หลังประชามติแล้วยิ่งมีความชัดเจน ไม่ว่าการลงทุนภาครัฐก่อนหน้านี้ที่รัฐบาลได้ประกาศออกมา รวมทั้งการจะเดินต่อไปข้างหน้า เมื่อการเมืองนิ่งแล้ว ความรู้สึก บรรยากาศ ความเชื่อมั่นภาคเอกชนและประชาชนก็ดีขึ้นไปด้วย ทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย
แต่ถึงแม้จะมองว่าดีขึ้นยังไงก็ตาม บริษัทก็ยังต้องใช้กลยุทธ์เน้นระบายสต๊อกในมือออกไปก่อน มีทั้งหมด 800 ยูนิตส่วนใหญ่ยังต้องมานั่งแก้ปัญหาห้องชุดรีเซลเพราะลูกค้าเจออยู่ 2 เรื่อง คือ "กู้ไม่ง่าย-กู้ไม่ผ่าน"
โดยฝากคำแนะนำถึงผู้บริโภคอสังหาฯต้องสำรวจความต้องการแท้จริงก่อน เพราะการซื้อเพื่อเก็งกำไรหรือซื้อเพื่อลงทุนตอนนี้ลดลงไปเยอะ จึงเหลือผู้ซื้อที่เป็นตัวจริง หรือซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง
สิ่งสำคัญที่สุด การซื้ออสังหาฯเป็นของชิ้นใหญ่ ต้องมีการเตรียมตัว ผู้บริโภคต้องรู้จักออม เช่น ถ้ามองหาห้องชุดราคา 1.9 ล้านบาท ต้องมีการออม 30% ของเงินเดือน จะเป็นปัจจัยที่ทำให้สามารถขอสินเชื่อได้รับการอนุมัติสูงขึ้น |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 28-08-2559
|
|
|
|
|