Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
ดลพิวัฒน์ ปรีดาวิภาต ครึ่งปีหลังขอตัวช่วยปลดล็อกสินเชื่ิอ |
|
สัมภาษณ์พิเศษ
ไตรมาส 3/59 ดำเนินไปท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่อง "ประชาชาติธุรกิจ" สัมภาษณ์พิเศษ "ดร.ฮ้อ-ดลพิวัฒน์ ปรีดาวิภาต" ซีอีโอค่ายธนาพัฒน์ พร็อพเพอร์ตี้ บริษัทที่มีประสบการณ์ 10 ปี ยูนิตสะสม 3-4 พันยูนิต มูลค่าโครงการสะสม 1 หมื่นล้านบาท มาแลกเปลี่ยนมุมมองการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของผู้ประกอบการ
- แนวโน้มจนกว่าจะถึงสิ้นปี
3 เดือนที่ผ่านมา ปัญหายอดปฏิเสธสินเชื่อยังสูง ทำให้มีบางกลุ่มราคาที่น่ากลัว โฟกัสลูกค้าเกรด B รายได้ต่อครอบครัว 3-5 หมื่นบาท หรือไม่เกิน 8 หมื่น/เดือน เพราะคนกลุ่มนี้มีภาระหลายส่วน หนี้ครัวเรือนสูงอยู่แล้ว ยิ่งภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกไม่ดี ยิ่งทำให้รายได้เขาเริ่มไม่แน่นอน กำลังซื้อลดลง
ขณะที่ลูกค้าบริษัทเราเจาะกลุ่ม B+ ขึ้นไป รายได้เกินเดือนละ 1 แสนบาท ยังคิดว่าปลอดภัย เรามีแผนซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการเพราะมองว่าสินค้าราคา 7-10 ล้านบาทขึ้นไปยังดีมานด์ ทำเลพระราม 3 โปรดักต์ที่เหมาะสมเป็นทาวน์เฮาส์ ถ้าบ้านเดี่ยวก็สนใจโซนกรุงเทพฯ เหนือ-ใต้ เช่น คลองตัน พัฒนาการ ซึ่งเราอยากแทรกตลาดตรงนี้
เวลาเลือกที่ดินต้องไซซ์กลาง 10-30 ไร่ เพื่อทำให้แต่ละโครงการจบใน 2 ปี เพราะมองในเรื่องกระแสเงินสด กับลูกค้าที่เข้ามาอยู่ ถ้าใหญ่เกินไปลูกค้าจะหงุดหงิดทำไมไม่ปิดการขายสักที (หัวเราะ)
ในขณะที่กลุ่มราคาต่ำกว่า 7 ล้าน แนวโน้มกำลังซื้อชะลอตัวน่าจะลากยาวถึงปี′60 เพราะในมุมดีเวลอปเปอร์ หลังอเมริกาเลือกตั้งปลายปีนี้ทุกอย่างน่าจะชัดขึ้น ตอนนี้ขมุกขมัว สิ่งที่วิเคราะห์กันคือ ถ้าโดนัล ทรัมป์ ชนะ นโยบายเน้นอเมริกันเฟิรสต์ อาจถอนการลงทุนแบบถอนยวง หรือสิ่งที่ลงทุนแล้วไม่ได้อะไรระยะสั้นก็ถอน โมเมนตัมอาจกลับไปที่ตะวันตก ทำให้ตะวันออกจีนมีโอกาสเข้ามามากขึ้น ถ้าฮิลลารี่ คลินตัน ชนะ คงเดินนโยบายเดิมสมัยโอบามา มองว่าโมเมนตัมจะลักษณะเดิม อเมริกายังมีบทบาทต่อเศรษฐกิจโลกอยู่
สำหรับผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่เชื่อว่าเราค้าขายกับจีนได้ง่ายอยู่แล้ว
- แผนธุรกิจระหว่างนี้
ประคองตัวครับ ธนาพัฒน์ฯโปรดักต์เรามีไม่มาก เราสามารถเลือกตลาดได้ แต่บริษัทที่ประกาศตัวว่ายึดตลาดต่ำกว่า 7 ล้านจะเหนื่อยกว่าในภาพใหญ่ต้องกลับไปดูนโยบายแบงก์ชาติ (ธนาคารแห่งประเทศไทย) ว่าผ่อนปรนอะไรได้มากน้อยแค่ไหน ณ วันนี้ แนวทางแก้ไขจริง ๆ อยากให้มาดูด้านไฟแนนซ์ทั้งในฝั่งผู้ประกอบการและฝั่งผู้กู้รายย่อย ไม่ได้บอกว่าขอให้คนฟุ่มเฟือยหรือใช้เงินผิดประเภท แต่สามารถดีไซน์วิเคราะห์สินเชื่อ อยากให้ปลดล็อกสินเชื่อ เพราะดอกเบี้ยวันนี้ถูกมาก ฉะนั้นลูกค้าอยากลงทุนซื้ออสังหาฯอยู่แล้ว
ทีนี้ ปลดล็อกสินเชื่อมีอะไรบ้าง 1.เครดิตบูโร ไม่ใช่มองระยะสั้น 2.การดีแคลร์(แสดง) รายได้ เมื่อก่อนพูดว่าเงินเดือน 7 พันกู้ได้ 1 ล้าน แต่วันนี้ดอกเบี้ยต่ำทำได้ดีกว่านี้ไหม เช่น เงินเดือน 6.5-7 พันกู้ได้มากกว่านี้ไหม 3.สิ่งสำคัญอีกอัน ประเทศไทยเริ่มทำนั่นคือ "ฟิกซ์ดอกเบี้ยเงินกู้" ทุกคนโดนเหมือนกันหมด 3 ปีฟิกซ์ หลังจากนั้น MLR เพราะ 7% ดอกฝากแค่ไม่ถึง 1%
ก็อยากให้บ้านประชารัฐฟิกซ์ดอกเบี้ย 10 ปีเลย ถ้า ธอส. (ธนาคารอาคารสงเคราะห์) กรุงไทย ออมสิน 3 แบงก์รัฐประกาศเลย ฟิกซ์ดอกเบี้ย 3.5% 10 ปี อย่างในอเมริกา ญี่ปุ่น ผมกล้าท้าว่าบ้านขายหมดเกลี้ยง (หัวเราะ) เขาบอกว่าทำไม่ได้ ต้นทุนเขาสูง แต่ถ้ากระทรวงคลัง แบงก์ชาติให้นโยบายลงไปก็น่าจะเป็นไปได้ โมเดลแบบนี้เราไม่ได้คิดไกลกว่าคนอื่น เราแค่คิดตามคนอื่น (ต่างประเทศ) อาจขอวงเงินสัก 5 หมื่นล้าน
- เคยเสนอถึงรัฐบาลหรือยัง
จริง ๆ ก็เคยคุยกับ SMC (บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย) ซึ่งเขาทำสินเชื่อบ้านอยู่แล้ว เราทำผ่านบทบาท 3 สมาคมอสังหาฯ ผลักดันเรื่องนี้อยู่ วิธีปฏิบัติไม่ต้องรอให้เขาทำหรอก แบงก์รัฐนี่แหละทำ ซื้อทรัพย์สินให้มีแวลู เพราะแอสเสทแวลู หรือทรัพย์สินที่มีค่า การทวีมูลค่าของมันก็จะขึ้นเร็ว สมมุติเราซื้อบ้านหลังหนึ่งในทำเลที่คิดว่าอนาคตจะดี แต่โดนดอกเบี้ยฟิกซ์ 4% 5 ปี ต้นทุนตรงนี้เราโดนเกือบ 10-20% ยังไม่ได้ลดต้นลดดอก
แต่สิ่งที่เราได้ในมุมกลับกัน ราคาประเมิน ราคาทรัพย์สิน มีโอกาสขึ้นมากกว่าอย่างน้อย 10-20% ในบางทำเล หลาย ๆ คนเขาก็คิดเรื่องพวกนี้ได้ แต่ถ้าเจอดอกเบี้ย 7% มันไปต่อไม่ได้ แบงก์ก็เลยเจอลูกค้าหัวหมอรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้านทุก 3 ปี นั่นคือถ้าจะทำให้ตลาดสินเชื่อสร้างสรรค์จริง ๆ อยากให้ประกาศใช้สิ้นปีนี้เลย เพราะฉะนั้น ข้อเสนอแนะรัฐบาลต้องลงมาช่วย และเอาตัวบ้านประชารัฐมาเป็นพระเอกให้ได้ เพราะ ธอส. ออมสิน กรุงไทย พร้อมปล่อยเงินกู้ อยู่ที่แบงก์ชาติต้องทำงานช่วยอีกนิดหนึ่งครับ |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 24-08-2559
|
|
|
|
|