Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
แฟรนไชส์รับสร้างบ้าน "พีดีเฮ้าส์" ฮึดสู้ ศก.ปีวอก เปิดแผน 5 ปีปูพรมรุกตลาด CLMV |
|
"พิศาล ธรรมวิเศษ" ปลื้ม 7 ปีปั้นอาณาจักรพีดีเฮ้าส์จากยอดขาย 200 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดดเป็นปีละพันกว่าล้าน ยอมรับแผนขยาย 50 สาขาทั่วปท.พลาดเป้า เผยแผนการตลาด 5 ปีข้างหน้า (2559-2563) พุ่งเป้าบุกตลาด CLMV หวังดันแบรนด์รับสร้างบ้านคนไทย สร้างชื่อในตลาดประเทศเพื่อนบ้าน ชี้โอกาสในอนาคตเน้นแข่งขันนวัตกรรม ผู้ประกอบการที่ไม่ปรับตัวรอดยาก ด้านแผนรุกตลาดปี′59 ชิมลางเปิดตัว "PD Steel House-ระบบบ้านโครงสร้างเหล็กกล้า" ชูจุดเด่นก่อสร้างแล้วเสร็จภายใน 3-6 เดือน ตั้งเป้าเจาะกำลังซื้อผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ราคาสร้างบ้านหลังละ 1-3 ล้านบาท
นายพิศาล ธรรมวิเศษ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดีเฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ เปิดเผยว่า ภายหลังบริษัทชิงปรับตัวและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในธุรกิจรับสร้างบ้าน เริ่มต้นจาก 1.การนำระบบโครงสร้างคอนกรีตเสา-คานสำเร็จรูป MLS มาใช้ก่อสร้างบ้านทั่วประเทศ 2.การพัฒนาระบบและขยายสาขาทั่วประเทศในรูปแบบแฟรนไชส์รับสร้างบ้าน 3.การขยายสู่ธุรกิจจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง 4.การแตกไลน์สู่ธุรกิจสิ่งพิมพ์และอีเวนต์ ฯลฯ นั้น
ส่งผลให้ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำธุรกิจรับสร้างบ้านในตลาดต่างจังหวัด ทำผลงานมียอดขายรวมกว่า 1 พันล้านบาท จากเดิมเมื่อปี 2552 มียอดขาย 200 ล้านบาท แม้ว่าจะไม่สามารถขยายสาขาได้ครบ 50 สาขาตามแผนที่วางไว้ก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นการเติบโตก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับคู่แข่งขัน ปัจจุบันศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์มีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 40 สาขาทั่วประเทศ
สำหรับแผนการตลาด 5 ปี (2559-2563) บริษัทมีแผนขยายศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ออกไปยังกลุ่มประเทศ CLMV ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดต่อกัน ทั้งนี้ การลงทุนและขยายสาขาจะเป็นรูปแบบให้สิทธิ์แฟรนไชส์รับสร้างบ้าน โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้มีการสำรวจทำเลและตลาดมาอย่างต่อเนื่อง โดยเหตุผลที่เลือกบุกตลาดกลุ่มประเทศเหล่านี้ก่อน มีดังนี้ 1.ภาษาและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไม่มาก 2.ผู้บริโภคและประชาชนในกลุ่มประเทศ CLMV มีทัศนคติที่ดีต่อแบรนด์สินค้าประเทศไทย
3.การสนับสนุนของภาครัฐที่ต้องการให้ธุรกิจแฟรนไชส์ไทยรุกตลาดต่างประเทศ และ 4.เรามั่นใจว่านวัตกรรมสร้างบ้านและชื่อเสียงของพีดีเฮ้าส์ จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนและผู้บริโภคได้ไม่ยาก ซึ่งการขยายสาขาในประเทศเพื่อนบ้านตามแผน 5 ปี นอกจากจะเป็นการขยายโอกาสการลงทุนแล้ว บริษัทยังสามารถนำรายได้เข้าประเทศอีกด้วย
ปี 2559 คาดการณ์ว่าปริมาณและมูลค่าตลาด บ้านสร้างเอง ยังอยู่ในภาวะทรงตัว เมื่อเทียบกับปีก่อน ดังนั้นการปรับตัวของผู้ประกอบการเพื่อรับมือกับการแข่งขันนับเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญมาก และเชื่อว่าทิศทางการแข่งขันของธุรกิจสร้างบ้านในอนาคต จะแข่งขันด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีก่อสร้างบ้านมากขึ้น ปัจจุบันประเทศไทยเปิดเออีซีหรือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 10 ประเทศแล้ว คงจะได้เห็นเทคโนโลยีก่อสร้างใหม่ๆ ทั้งจากยุโรป อเมริกา และจีนเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะระบบก่อสร้างกึ่งสำเร็จรูปหรือสำเร็จรูป ที่จะมาทดแทนแรงงานและช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานฝีมือ รวมถึงเป็นการพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมสร้างบ้าน เหมือนหลายๆ ประเทศในแถบเอเชียที่มีการพัฒนาไปก่อนหน้านี้แล้ว เช่น สิงคโปร์ ไต้หวัน ญี่ปุ่น
ในส่วนของบริษัทพีดีเฮ้าส์ก็เร่งปรับตัวเองเช่นกัน โดยแผนการตลาดในปีนี้ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือระบบก่อสร้างใหม่ ได้แก่ PD Steel House ระบบบ้านโครงสร้างเหล็กแบบ Wall Frame ผลิตจากเหล็กกล้ารับกำลังสูง จุดเด่นคือก่อสร้างได้รวดเร็วภายใน 3-6 เดือน เจาะกลุ่มกำลังซื้อราคา 1-3 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นกลุ่มกำลังซื้อของตลาดรับสร้างบ้านที่มีฐานใหญ่ที่สุด นอกจากนี้ ยังมุ่งจับกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการสร้างรีสอร์ตและบ้านพักตากอากาศให้เช่า โดยบริษัทมีแบบแปลนให้เลือกปลูกสร้างเกือบ 20 แบบ ตั้งเป้ายอดขายในปีแรกจำนวน 100-120 หลัง มูลค่า 200 ล้านบาทเศษ ตัวเลขเป้ายอดขายอาจไม่สูงมากนัก เนื่องจากเป็นสินค้าใหม่ที่อยู่ระหว่างการทดลองตลาด
นางมาลี สุวรรณสุต กรรมการบริหาร กล่าวเสริมว่า ปัจจุบัน พีดีเฮ้าส์เป็นผู้ให้บริการสร้างบ้านที่มีระบบก่อสร้างถึง 3 ระบบคือ 1.ระบบคอนกรีตหล่อในที่ 2.ระบบพรีแฟบหรือเสา-คานสำเร็จรูป และ 3.ระบบบ้านโครงสร้างเหล็ก ซึ่งสามารถตอบสนองพฤติกรรมและรสนิยมของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม
ทั้งนี้ นอกจากเป้ายอดขายบ้านโครงสร้างเหล็กหรือ PD Steel House แล้ว บริษัทยังตั้งเป้ายอดขายบ้านระบบคอนกรีตหล่อในที่และพรีแฟบไว้อีก 250 หน่วย คาดการณ์มูลค่า 1.2 พันล้านบาทเศษ อย่างไรก็ดี ภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่ายังชะลอตัวต่อเนื่อง เป้าหมายที่ตั้งไว้อาจไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด แต่จำเป็นต้องตั้งเป้าหมายที่เป็นความท้าทาย ถือเป็นบทพิสูจน์ขีดความสามารถขององค์กรไปในตัว
+++ |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 28-01-2559
|
|
|
|
|