|
Link
to us!!!
|
| ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
|
| "พฤกษา" รื้อใหญ่ลดลงทุน 40% วัดดวงปีหน้า ลุยสร้างบ้านคนจน |
|
เศรษฐกิจชะลอตัว เลื่อนการลงทุน 30 โครงการ จากปีนี้ไปปีหน้าแต่ไม่กระทบยอดขายแน่ มียอดรอโอนอยู่มาก
อสังหาฯค่ายมหาชน "พฤกษาเรียลเอสเตท" ยักษ์ใหญ่แห่งวงการ มี "ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์" คุมหัวเรือใหญ่ ทุกครั้งที่ขยับหรือเคลื่อนไหว ล้วนอยู่ในความสนใจ
ล่าสุดจากถ้อยแถลงผลประกอบการบริษัทรอบ 9 เดือน หนึ่งในไฮไลต์คือเลื่อนเปิดตัวโครงการออกไปประมาณ 30 โครงการ จากเป้าเดิม 70-75 โครงการ มูลค่า 55,000-61,000 ล้านบาท เหลือ 44 โครงการ มูลค่า 42,300 ล้านบาท ยิ่งน่าสนใจไม่น้อย เมื่อยักษ์ใหญ่ทุนหนาอย่าง "พฤกษา" ปรับแผนลงทุน ยิ่งสะท้อนสภาวการณ์อึมครึมของตลาดอสังหาฯปีนี้ได้เป็นอย่างดี
"เราปรับแผนลงทุนช่วงไตรมาส 3 ตัดสินใจเลื่อนเปิดไป 30 โครงการไปเปิดปีหน้า เป็นคอนโดฯ 2,000 ยูนิต บ้านเดี่ยว 1,400 ยูนิตและทาวน์เฮาส์ 5,800 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ารวม 21,000 ล้านบาท เพราะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่การเลื่อนเปิดโครงการไม่ส่งผลกระทบต่อยอดขาย เพราะบริษัทมีสต๊อกเหลือขายจำนวนมาก" นายทองมากล่าว
สำหรับตัวเลขผลประกอบการ 9 เดือน เมื่อเทียบในช่วงเดียวกันของปี 2557 บริษัทมียอดขายทั้งสิ้น 34,455 ล้านบาท จากเดิม 31,330 ล้านบาท เติบโต 10% รายได้รับรู้ 33,211 ล้านบาท จากเดิม 30,372 ล้านบาท เติบโต 9.3% และกำไรสุทธิ 4,697 ล้านบาท ลดลด 1.6% จากเดิม 4,774 ล้านบาท ผลที่ทำให้กำไรสุทธิลดลง ส่วนหนึ่งมาจากราคาที่ดินที่แพงขึ้น
"แม้รายได้รับรู้ทั้งปีจะขาดอีกประมาณ 30% จากเป้าที่ตั้งไว้ 47,000 ล้านบาท แต่มั่นใจว่าช่วงเวลาที่เหลืออีก 1 ไตรมาสจะสามารถทำได้แน่นอน เพราะยังมียอดขายที่รอรับรู้อีก 16,543 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวดิ่ง 60% แนวราบ 40% ที่สามารถโอนได้ทันที และปีนี้บริษัทยังคงจ่ายโบนัสให้กับพนักงานใกล้เคียงกับปีที่แล้ว 6.5 เดือน"
โดย "ทองมา" มั่นใจว่า จากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯของรัฐบาลในการลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง เหลือ 0.01% จะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจโอนมากขึ้น รวมถึงการหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 20% สำหรับผู้ซื้อบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท คาดว่าจะทำให้บริษัทได้รับอานิสงส์ เพราะมีบ้านระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทในสัดส่วน 54% ของสินค้าทั้งหมด
"แผนไตรมาส 4 จะเปิดตัวโครงการใหม่ 8 โครงการ เป็น คอนโดฯ 1 โครงการ บ้านเดี่ยว 3 โครงการ และทาวน์เฮาส์ 4 โครงการ มูลค่ารวม 6,700 ล้านบาท"
ขณะภาพรวมตลาดอสังหาฯในกรุงเทพฯและปริมณฑล "ทองมา" มองว่า ตลอดทั้งปี 2558 คาดว่าจะมียอดขายอยู่ที่ 337,487 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตประมาณ 15% ที่ผ่านมาทำยอดขายไปแล้ว 255,466 ล้านบาท ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดอสังหาฯเติบโต มาจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นตามด้วย จากข้อมูลที่บริษัทสำรวจพบว่า ประชากรจดทะเบียนอยู่ที่ 10.68 ล้านคน และประชากรที่ไม่ได้จดทะเบียนอีกประมาณ 15-16 ล้านคน และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย
"ตลาดอสังหาฯโดยรวมปีหน้า ต้องดูหลายปัจจัยประกอบ ทั้งปัจจัยภายในและภายนอก โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลกว่าจะมีแนวโน้มไปในทิศทางไหน ธนาคารกลางจะขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ สิ่งสำคัญน่าจะอยู่ที่เศรษฐกิจของจีน มีผู้ทำนายไว้ว่าจีดีพีปีหน้าของจีนจะอยู่ที่ 6.5% แต่ต้องรอดูอีกทีว่าจะปรับลดหรือเพิ่มอย่างไร"
หันกลับมาที่เศรษฐกิจประเทศไทย "ทองมา" มองว่า จีดีพีของไทยปีนี้หลาย ๆ สำนักทำนายไว้ว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 2.2-2.3 จากตอนแรกที่เคยประเมินไว้ที่ร้อยละ 3.8 ก็ปรับลดลงมาเรื่อย ๆ แต่ยังดีที่มีการเติบโตอยู่ เชื่อว่าอีกปัจจัยที่สำคัญคือ มาตรการของรัฐบาล เท่าที่ทราบมามีการวางงบประมาณปี 2559 อยู่ที่ 2.27 ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณ 390,000 ล้านบาท เชื่อว่าการขาดดุลที่มากขนาดนั้น แล้วไปลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานใช้งบประมาณค่อนข้างเยอะ จึงเป็นเงินที่ช่วยกระตุ้นจีดีพีได้
"ผลที่ตามมาจะเป็นการสร้างรายได้ให้กับคนที่ทำงาน หรือภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่รัฐบาลทำจะประสบความสำเร็จ ขณะเดียวกันรายได้ประเทศ เรื่องของการส่งออกให้ติดลบน้อยลงหรือไม่ติดลบเลย หากเศรษฐกิจยังเติบโตแล้ว ดัชนีที่วัดเศรษฐกิจอีกอย่างก็คือภาคอสังหาฯน่าจะเติบโตตามไปด้วย"
สำหรับนโยบายของรัฐบาลที่จะดึงเอกชนเข้าร่วมลงทุนสร้างบ้านผู้มีรายได้น้อย"ทองมา"แย้มว่าก็สนใจ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้หารือกันอย่างเป็นทางการ ทราบแต่ว่ารัฐบาลจะมีการสร้างบ้านบนที่ดินของรัฐบาล โดยให้กรมธนารักษ์เป็นผู้จัดหาให้ ในราคาไม่เกิน 6 แสนบาท
ขณะนี้บริษัทกำลังศึกษาความเป็นไปได้ว่าจะทำอย่างไรและเป็นรูปแบบไหน ถึงจะเหมาะสม ซึ่งรัฐบาลก็อยากให้ภาคเอกชนไปร่วมกันทำ ถ้าหากมีรูปแบบโครงการออกมาที่ชัดเจน บริษัทก็สนใจ แต่ว่าขณะนี้ยังไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจน ซึ่งบริษัทก็เคยมีประสบการณ์พัฒนาโครงการทาวน์เฮาส์ ซึ่งเป็นบ้านบีโอไอมาก่อน จำนวนกว่า 100,000 แสนหลัง เป็นบ้านสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางถึงรายได้น้อย ราคาไม่เกิน 6 แสนบาท |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 19-11-2558
|
|
|
|
|
