|
Link
to us!!!
|
| ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
|
| เอ็มดี "อนุชา จตุรันต์" "เมกาโฮมไม่จำเป็นต้องโตก้าวกระโดด" |
|
สัมภาษณ์พิเศษ
โมเดิร์นเทรดค้าวัสดุใต้ฟ้าเมืองไทยในปัจจุบันมีสาขารวมกันไม่ต่ำกว่า 200 สาขาทั่วประเทศ นับเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่น่าสนใจว่าร้านเอเย่นต์แบบดั้งเดิมจะหายสาบสูญไปหรือไม่ ในขณะที่บิ๊กเนมแข่งกันลงทุนเปิดสาขาไม่หยุดแบบนี้ จะมีกำลังซื้อมาจากไหน รวมทั้งไทยกำลังนับถอยหลังเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี โอกาสทางธุรกิจมีมากน้อยแค่ไหน "ประชาชาติธุรกิจ" สัมภาษณ์พิเศษเพื่อร่วมค้นหาคำตอบจาก "อนุชา จตุรันต์" ผู้บริหารที่นั่งควบเอ็มดี 2 เก้าอี้ ทั้งเมกาโฮมในเมืองไทย และโฮมโปร มาเลเซีย
- ตลาดในประเทศใหญ่แค่ไหน
แต่ละปีมูลค่าตลาดเป็นแสนล้านบาท โมเดิร์นเทรดเพิ่งจะมีแชร์แค่ 20% เท่านั้นเอง ประเด็นอยู่ตรงที่ว่าแนวโน้มของธุรกิจต่อไปนี้ ผู้ประกอบการรายกลางหรือรายย่อยอาจจะมีเรื่องของรุ่นลูกที่ต้องดูแลต่อ ๆ ไป ไม่แน่ใจว่าคนรุ่นใหม่จะรักษาไว้ไหม ซึ่งวงการนี้คนรุ่นใหม่เจนเอ็กซ์ เจนวาย มีวิธีคิดในการทำงานแบบชิล ๆ แต่งานแบบนี้เป็นงานเหนื่อย งานหนัก ถ้าเขาไม่ได้ทำต่อหรือบางทีรุ่นลูกไม่เอาแล้ว ขอเล่นหุ้นดีกว่า ตลาดตรงนี้ต้องมีผู้ให้บริการแทน ฉะนั้น จึงเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของการค้าขายวัสดุแบบดั้งเดิมหรือเทรดิชั่นนอลเทรด
แต่ไม่ได้หมายความว่าเทรดิชั่นนอลเทรดจะหายไปหมดเลยนะ ค่อย ๆ ปรับตัวไป อย่างเช่น ยงเฮ้าส์ ที่เมืองกาญจน์ ก็ปรับตัวขึ้นมา หรือใครต่อใครเริ่มปรับตัวที่จะทำเป็นเชน เราเห็นบางเจ้าอย่างโตเจริญพร ขายวัสดุก่อสร้าง มีเอาต์เลตก่อสร้างเยอะทั่วกรุงเทพฯเลย เขาก็สามารถอยู่รอดได้ เขาก็ปรับตัว
- ธุรกิจดั้งเดิมต้องปรับตัวยังไง
คีย์หลักธุรกิจนี้อยู่ที่โลจิสติกส์กับเลเบอร์ ฉะนั้น ถ้าปรับ 2 เรื่องนี้ได้ เขาก็เติบโตได้ และสามารถมีเชนสโตร์อย่างเมกาโฮม 1 สาขา เราใช้พนักงาน 140 คน โลจิสติกส์เราใช้วิธีส่งไปที่สาขา มีพื้นที่ มีเก็บสต๊อก สินค้าหมุนเวียน โดยเราใช้โลจิสติกส์ร่วมกับโฮมโปรอยู่แล้ว
- ยุคนี้ทำธุรกิจต้องมีพันธมิตร
ผมว่าโอกาสเรื่องนี้มันก็เป็นไปได้เพียงแต่ว่าในวันนี้เรายังสามารถโอเปอเรตได้เองความสะดวกในเชิงการบริหารจัดการมันสะดวกกว่าแต่ถ้าถึงเวลาจุดนี้เราก็ไม่ได้มองว่าเป็นโอกาสที่ปิด เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลานั้น ในส่วนของเมกาโฮมเราไปด้วยโมเมนตัมเปิดปีละ 4-5 สาขา เรื่องโอกาสเติบโตก้าวกระโดดเราไม่คิดว่ามีความจำเป็นต้องเติบโตก้าวกระโดด เรามองว่าเราทำร้านที่ดี มีคุณภาพ เปิดแล้วเรามั่นใจว่าสามารถทำกำไรในสาขานั้น ๆ ได้ ตอนนี้ภาพใหญ่เรามองไปถึงแผนธุรกิจ 3-5 ปีในแง่โปรดักต์มิกซ์เราก็จูนมาเรื่อย ๆ คิดว่าที่เราทำมากระชับขึ้น สัดส่วนที่เราอาจจะออฟเฟอร์เยอะไปก็ปรับให้มันกระชับขึ้น แบ่งเป็นสินค้าฮาร์ดไลน์ 60-70% ซอฟต์ไลน์ 30% กว่า สัดส่วนยังไม่ได้ขยับมากเท่าไหร่
- สูตรสำเร็จลงทุนสาขา
1 สาขาก็ประมาณ 8 พัน ตร.ม.-1 หมื่น ตร.ม. ด้านนอกพื้นที่สินค้าก่อสร้าง 3-4 พัน ตร.ม. พวกเหล็ก ของหนัก จำนวนที่ดินก็ 20-25 ไร่ จอดรถ 200-300 คัน คิดว่าในอนาคตจะไปในลักษณะนี้เพราะเรื่องไซซิ่งแนวโน้มจะย่อส่วนลง เหตุผลเพราะเรื่องพื้นที่ด้วย มูลค่าที่ดินสูงขึ้น กับประสบการณ์ที่เราเคยทำมาแล้ว เราเข้าใจแล้วว่าเท่าไหร่คือเพียงพอกับการทำประสิทธิภาพ เป็นการเรียนรู้จากสิ่งที่เราทำ เป็นการจูนระหว่างการลงทุนกับประสิทธิภาพ และการนำเสนอให้ลูกค้า คิดว่าเราปรับมาทำให้กระชับขึ้น ไม่อุ้ยอ้ายมาก
- 8 เดือนโฮมโปรมาเลเซีย
ก็ดีครับ ใช้ได้ ทำแล้วในระดับสาขาก็มีกำไร เราวางแผนลงทุน 5 ปีเปิดสัก 8-10 สาขา ส่วนหนึ่งเปิดเพิ่มในกัวลาลัมเปอร์ เมืองอื่นมียะโฮร์ ปีนัง ส่วนสาขาอื่นในประเทศอาเซียนก็ดูอยู่ครับ ขอเวลาศึกษานิดหนึ่ง พฤติกรรมผู้บริโภคก็เหมือนตลาดเมืองไทย สินค้ายอดนิยมกลุ่มซอฟต์ไลน์จากเมืองไทยลูกค้ามาเลย์ให้ความสนใจมาก สินค้าที่วางขายที่โน่นนำของโฮมโปรไปเยอะมาก สินค้าเฮาส์แบรนด์เอาไปเกือบหมด เรื่องคอสต์คอนโทรลก็ไม่ยากหรอกครับ ประเด็นที่ว่าไม่ยากเพราะในมาเลเซียเป็นสาขาติดพรมแดนเรา โลจิสติกส์ก็ขนเป็นสินค้าข้ามแดนไป ระยะทางขนส่งห่าง 1,000 กว่า กม. เขามีโลจิสติกส์วิ่งประจำเส้นทางอยู่แล้ว
- อยากให้รัฐบาลสนับสนุนอะไร
รวม ๆ ก็ถือว่าเขามีมาตรฐานพอสมควร ปัญหาไม่เยอะมาก ฝั่งเราก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร ถ้าอยากให้สนับสนุนอะไร ผมมองว่าส่วนหนึ่งรัฐบาลไทยต้องฝึกคนเรื่องความพร้อม เรื่องภาษา คนไทยความสามารถไม่แพ้ใคร แต่สิ่งที่เราเสียเปรียบคือเรื่องภาษา ถ้าเราไม่พัฒนาเรื่องภาษาให้แข็งแรงอันนี้คือข้ออ่อนอย่างมาก
วันนี้คุณจะไปประเทศไหนต้องใช้อังกฤษหมดมาเลย์ก็พูดภาษาอังกฤษได้ดีคนเวียดนามก็พัฒนาภาษาอังกฤษเขาเยอะ คนพม่าก็พูดภาษาอังกฤษได้ แต่คนไทยมีความสามารถแต่ภาษาไม่ได้ก็สื่อสารยาก ผมคิดว่ารัฐบาลไทยต้องฝึกให้คนไทยพูดภาษาอังกฤษให้คล่องกว่านี้ |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 05-09-2558
|
|
|
|
|
