Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
คอนวูดส่งซิกสนขยายไลน์หลังคา-ฝ้าเพดาน |
|
นายสุทธิพันธ์ วัชรโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอนวูด จำกัด ในเครือ บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง ผู้ผลิตวัสดุทดแทนไม้ไฟเบอร์ซีเมนต์ "คอนวูด" เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า หลังจากคอนวูดรุกตลาดไฟเบอร์ซีเมนต์มากว่า 12-13 ปี ถือว่าแบรนด์คอนวูดเป็นที่รู้จักและยอมรับ ล่าสุดมีความเป็นไปได้ที่จะขยายไลน์ไปยังวัสดุตัวอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับไฟเบอร์ซีเมนต์ให้หลากหลายมากขึ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาโอกาสการขยายตลาด
เบื้องต้นมีสินค้าที่สนใจ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์หลังคาไฟเบอร์ซีเมนต์ และแผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์บอร์ดสำหรับงานฝ้า-ผนัง คาดว่ามีมูลค่าตลาดทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์รวมกันไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยอาจใช้วิธีจับมือเป็นพันธมิตรกับผู้ผลิตสินค้าในประเทศ อย่างไรก็ตาม คงไม่ลงทุนก่อสร้างโรงงานใหม่เองเนื่องจากต้องใช้เวลาก่อสร้าง ติดตั้งเครื่องจักร และสร้างบุคลากรค่อนข้างนาน
"การขยายไลน์สินค้ามีข้อดี คือ บริษัทสามารถนำเสนอสินค้าเป็นเซต ช่วยเพิ่มโอกาสในการแข่งขันกับคู่แข่ง ส่วนจะมีการเทกโอเวอร์กิจการหรือไม่ ขณะนี้ยังไม่มีและขึ้นกับนโยบายบริษัทแม่ (ปูนซีเมนต์นครหลวง) เป็นหลัก"
นายสุทธิพันธ์กล่าวต่อว่า จากภาพรวมตลาดวัสดุทดแทนไม้ไฟเบอร์ซีเมนต์ปีนี้ ที่คาดว่าติดลบ 5% จากผลกระทบเศรษฐกิจและโครงการอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว ส่งผลให้กำลังซื้อทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดลดลง เนื่องจากชาวบ้านระมัดระวังการใช้เงิน ดังนั้น ปีนี้บริษัทจะต้องเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเพื่อรักษายอดขายเท่ากับปีที่ผ่านมาคือ 1.5 พันล้านบาท
โดยปัจจุบันบริษัทเดินเครื่องจักรเต็มกำลังการผลิตสูงสุด 3 ไลน์ ที่ปีละ 1.35 แสนตัน กรณีที่เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมาเติบโตดี จนต้องลดสัดส่วนการส่งออกจากที่ตั้งเป้าหมายในปีนี้ไว้ 10% ของยอดขายรวม ก็จะพิจารณาลงทุนก่อสร้างโรงงานที่ 4 มีกำลังผลิตเพิ่มอีกปีละ 4.5 หมื่นตัน
ส่วนความคืบหน้าการดำเนินธุรกิจในประเทศอินโดนีเซีย หลังจากได้ทุ่มงบฯ 1.5 พันล้านบาท ก่อสร้างโรงงานผลิตวัสดุไฟเบอร์ซีเมนต์แห่งแรกในอินโดฯ มีกำลังผลิตสูงสุดปีละ 5.6 หมื่นตัน และเริ่มผลิตสินค้าเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ผลตอบรับค่อนข้างดี
คาดว่าปีนี้จะใช้กำลังการผลิตที่ 40-50% สามารถสร้างยอดขาย 200 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา 3 เท่า โดยปัจจุบันตลาดในอินโดนีเซียยังไม่มีผู้ประกอบการตั้งโรงงานผลิตสินค้าวัสดุไฟเบอร์ซีเมนต์ จึงต้องใช้เวลาในการให้ความรู้กับผู้บริโภค ประมาณการว่าภายใน 1-2 ปีนับจากนี้จะสามารถใช้กำลังการผลิตเต็ม 100% ได้ |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 16-04-2558
|
|
|
|
|