Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
สคบ.บังคับ B.O.Q. จุดเปลี่ยนรับสร้างบ้าน |
|
กลายเป็นประเด็นฮอตข้ามปีของวงการธุรกิจรับสร้างบ้าน เมื่อ สคบ.-สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เตรียมชงคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา ออกข้อบังคับให้ธุรกิจว่าจ้างก่อสร้างบ้านและอาคารอยู่อาศัย เป็นธุรกิจที่ต้องถูกควบคุมข้อความในสัญญา ประเด็นหลักอยู่ที่จะบังคับให้สัญญาต้องระบุข้อความรายละเอียด "บี.โอ.คิว." หรือ B.O.Q.-Bill of Quantity หมายถึง บัญชีแจกแจงรายการ ปริมาณ ค่าวัสดุ ค่าแรง และค่าดำเนินการ
เป้าหมายเพื่อลดเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการว่าจ้างปลูกสร้างบ้าน ทั้งปัญหาผู้ประกอบการลดสเป็กวัสดุ ใช้วัสดุไม่ได้คุณภาพ และบ้านชำรุดบกพร่อง โดยสถิติปีงบประมาณ 2557 สคบ.รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการว่าจ้างสร้างบ้าน 500-600 ราย จากเรื่องร้องเรียนอสังหาริมทรัพย์รวม 1,200 ราย
แม้ว่ากำหนดการพิจารณาเดิม สคบ.มีคิวส่งเรื่องให้ที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาเมื่อ 25 ธันวาคมที่ผ่านมา ต้องเจอโรคเลื่อน เพราะติดภารกิจพิจารณาเรื่องสัญญาค้ำประกันยังไม่เสร็จ แต่ผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน ยังติดตามเรื่องนี้อย่างจดจ่อ !
โดยก่อนหน้านี้ "วิสิฐษ์ โมไนยพงศ์" นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ออกมาแสดงจุดยืนขอให้ สคบ.ทบทวนรายละเอียดร่างประกาศใหม่ โดยเฉพาะเรื่องการระบุ บี.โอ.คิว. ในสัญญา ถ้าบังคับใช้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยน หรือจุดตายของธุรกิจรับสร้างบ้าน
เปิดนิยาม บี.โอ.คิว.
ทำความเข้าใจ บี.โอ.คิว.คืออะไร โดยทั่วไปจะประกอบด้วย ข้อความแสดงรายละเอียดรายการวัสดุ ปริมาณที่ใช้ และค่าวัสดุ แบ่งแยกเป็น 7 หมวด เริ่มจากหมวดวัสดุงานโครงสร้าง (เสา, คาน, พื้น, หลังคา) หมวดงานก่อฉาบ หมวดงานพื้น หมวดงานฝ้าเพดาน หมวดงานไฟฟ้า หมวดงานสี และหมวดงานสุขาภิบาล นอกจากนี้ต้องแจกแจงรายการค่าแรงและค่าดำเนินการด้วย
โดยนับจากผู้ประกอบการรับสร้างบ้านรวมตัวกันจัดตั้งสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน 11 ปี ทีี่ผ่านมาได้ร่วมกันทำ "สัญญามาตรฐานก่อสร้างบ้าน" เป็นสัญญาต้นแบบให้บริษัทรับสร้างบ้านหรือผู้บริโภคนำไปใช้แบบสมัครใจ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย เช่น การแบ่งระยะเวลาชำระเงินงวดให้สอดคล้องกับความคืบหน้างานเพื่อความเป็นธรรมไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ฯลฯ อย่างไรก็ตามสัญญามาตรฐาน ไม่ได้บังคับต้องระบุรายละเอียด บี.โอ.คิว.
สคบ.-รับสร้างบ้านมองต่างมุม
มองในมุมผู้บริโภค "อำพล วงศ์ศิริ" เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สคบ. ระบุว่า กรณีเตรียมควบคุมสัญญารับสร้างบ้าน สิ่งที่ผู้บริโภคได้คือมีหลักฐานยืนยันว่าทำผิดสัญญา หากบริษัทรับสร้างบ้านหรือผู้รับเหมาแอบลดสเป็กวัสดุระหว่างก่อสร้าง
อย่างไรก็ตาม ในฝั่งผู้ประกอบการ "ศักดา โควิสุทธิ์" เอ็มดี "รอแยลเฮ้าส์" ที่อยู่ในวงการรับสร้างบ้าน 30 ปี ให้ความเห็นว่า หาก สคบ.ไม่ทบทวนเรื่องนี้ ผู้ประกอบการจะต้องเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานใหม่ ต้องรับพนักงานถอดแบบเพิ่มขึ้น ขณะที่ลูกค้าต้องมีค่าใช้จ่ายถอด บี.โอ.คิว. เฉลี่ยหลักหมื่นถึงหลักแสนบาทขึ้นกับแบบบ้าน
เพราะลูกค้าทุกรายจะขอปรับแบบ-ฟังก์ชั่นใหม่ บี.โอ.คิว.ของแบบบ้านมาตรฐานเดิมที่ทำไว้จึงใช้ไม่ได้ ต้องถอดรายละเอียดใหม่ ขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลา 2-4 สัปดาห์แล้วแต่บริษัท
ข้อเสนอพบกันครึ่งทาง
สำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่อาจปรับตัวได้ เพราะมีเงินทุนเพียงพอจะว่าจ้างพนักงานถอด บี.โอ.คิว. แต่รายกลาง-รายเล็กอาจจะเหนื่อย ต้องใช้คนที่มีอยู่เท่าเดิม แต่ทำงานมากขึ้น
ดังนั้นเป็นไปได้หรือไม่ที่การควบคุมสัญญาจะเปิดกว้าง โดยให้ลูกค้าเป็นฝ่ายเลือกเอง คือ 1)จะให้แสดงรายการ บี.โอ.คิว. ในสัญญาปลูกสร้างบ้านตั้งแต่แรก หรือ 2)ให้แสดงภายหลังระหว่างก่อสร้างบ้าน ไม่ถือว่าผิดสัญญา
เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา มีลูกค้าไม่เกิน 5-6% ที่ขอให้ระบุ บี.โอ.คิว.ในสัญญา เนื่องจากในสัญญาว่าจ้างก่อสร้างบ้าน จะมีบัญชีวัสดุแนบท้ายให้ลูกค้าอยู่แล้ว เช่น ใช้เหล็กมี มอก., กระเบื้องปูพื้น-บุผนังขนาดเท่าไหร่ หรือใช้ของเทียบเท่า ฯลฯ
งานนี้ต้องวัดใจคณะกรรมการว่าจะพิจารณาเรื่องนี้อย่างไร ! |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 08-01-2558
|
|
|
|
|