Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
จริงหรือหลอก "คสช." ตัดไฮสปีดเทรน หรือแค่ชะลอ รอ "รัฐบาลใหม่" |
|
กลาย เป็นประเด็นฮอต เมื่อ "บิ๊กจิน-พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง" รองหัวหน้า "คสช.-คณะรักษาความสงบแห่งชาติ" ผ่านพิมพ์เขียวยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย 2558-2566 มีกรอบวงเงินลงทุน 3.1 ล้านล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
ที่ฮือฮาเพราะคนนำไปเทียบ "โครงการ 2 ล้านล้าน" ยุคเพื่อไทย พร้อมตั้งคำถามตามมาว่า...อีก 1 ล้านล้านงอกมาจากไหน ?
ทำไมถึงโป่ง 3 ล้านล้าน
เมื่อ พลิกดูแผนงานมีเพิ่มใหม่การลงทุน "ทางอากาศ" ยังไม่ตัดรถไฟความเร็วสูง 2 สาย คือ กทม.-หนองคาย และ กทม.-พิษณุโลก ที่ "สนข.-สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร" ใส่ไว้ในระยะที่ 2 และระยะที่ 3 ใช้เงินลงทุน 598,443 ล้านบาท
อีกทั้งเพิ่มโครงการใหม่สารพัดที่ ไม่อยู่ใน 2 ล้านล้าน อาทิ มอเตอร์เวย์อีก 3 สาย ทางด่วน 5 สาย ถนนวงแหวนรอบที่ 3 รถไฟทางคู่เพิ่มจาก 14 สาย เป็น 17 สาย โครงการศึกษารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (บางแค-พุทธมณฑลสาย 4) สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา จ.สมุทรปราการ เป็นต้น
แต่ยังเป็นแค่กรอบ ลงทุนภาพรวมที่แต่ละหน่วยเสนอเข้ามา ต้องรอกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณจัดสรรเม็ดเงินให้ ยังไม่รู้จะได้ตามที่ขอหรือไม่
เบื้องหลังแยกไฮสปีดเทรน
ขณะที่กรอบเงินลง ทุน เมื่อตัด "ไฮสปีดเทรน" ออกจากบัญชี จะลดลงทันทีเหลือประมาณ 2.469 ล้านล้านบาท ถือว่าเกินจากยุค "เพื่อไทย" ไม่มาก เพราะถ้าจะให้เดินตามรอยนโยบายเดิม เท่ากับจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง หากจะประกาศโรดแมปออกมา
จึงเป็นที่มาว่า ทำไม "คสช." แยกไฮสปีดเทรนออกมาพักไว้นอกบัญชี เป้าหมายไม่มีเจตนาจะล้มเลิก แค่ชะลอชั่วคราว รอดูผลศึกษาอย่างละเอียด ระหว่างรอจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะเห็นโฉมหน้า 3 เดือนนี้ จะพอดีที่ผลศึกษาแล้วเสร็จ
เมื่อวันนั้นมาถึง คาดว่าจะคงไว้แค่บางสายทาง จะไม่สร้าง 4 สายรวด อย่างที่ "เพื่อไทย" คิด เพราะหากทำแบบนั้น นอกจากจะผิดท่าทีของ คสช.ที่มุ่งแก้ปัญหาปากท้องและความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลัก การจะใช้เงินลงทุนมากมายขนาดนั้นคงไม่ใช่ภารกิจสำคัญ จึงต้องหยิบสายทางที่คุ้มค่าจริง ๆ มาเดินหน้า
รอชงรัฐบาลใหม่
ว่า กันว่า แม้แต่ "หม่อมอุ๋ย-ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล" ที่ปรึกษา คสช.ที่เชียร์ให้ลงทุนรถไฟทางคู่ก่อน ยัง อยากให้ "คมนาคม" คงไฮสปีดเทรนไว้ ไม่ให้ตัดทิ้งเสียทีเดียว เพราะเมื่อเทียบระหว่าง "รถไฟทางคู่-รถไฟความเร็วสูง" การพัฒนาเมือง "รถไฟความเร็วสูง" ภาพจะชัดเจนกว่า
ขณะที่ "รถไฟทางคู่" ช่วยเรื่องโลจิสติกส์เป็นหลัก สามารถทำความเร็วการเดินรถไฟเร็วขึ้นจากเดิมรถขนสินค้าและผู้โดยสารวิ่ง เฉลี่ย 20-50 กม./ชม. เป็น 60-100 กม./ชม. ยกเว้นจะปรับระบบเดินรถจาก "รถดีเซล" เป็น "รถไฟฟ้า" เหมือนประเทศมาเลเซีย จะได้ประโยชน์สมบูรณ์ แต่นั่นหมายความว่าจะต้องยกเครื่องระบบเดินรถทั้งประเทศให้เป็นระบบไฟฟ้า ทั้งหมด
สรุป...นโยบาย คสช.ให้ชะลอ "ไฮสปีดเทรน" เพราะไม่เหมาะมาพูดถึงโครงการเวลานี้ ยุคที่ "คสช." มีอำนาจบริหารประเทศเพียงช่วงสั้น ๆ ต้องรอมีรัฐบาลตัวจริงมาบริหารยาว ๆ
จึง ไม่แปลกที่ "บิ๊กจิน" สั่งคมนาคมตั้งคณะทำงานมาดูรายละเอียดให้ถี่ถ้วนใน 3 เดือนนี้ เพราะมีเป้าหมายใหญ่ ว่ากันว่าเตรียมจะนำโครงการนี้ประกาศเป็นนโยบายทันทีที่มีรัฐบาลใหม่เดือน กันยายนนี้
มีลุ้น 2 สาย "หนองคาย-ระยอง"
มีแนวโน้ม จะหยิบ 1-2 สายมาเดินหน้า คือ กทม.-นครราชสีมา-หนองคาย เพราะผลศึกษาเบื้องต้นของ "สนข." ระบุคุ้มค่าทางเศรษฐกิจกว่า 16% สำคัญไปกว่านั้น เป็นเส้นทางเชื่อมระหว่างประเทศ และเป็นยุทธศาสตร์การค้าแนวเหนือ-ใต้ มีไทยเป็นศูนย์กลาง
ด้านเหนือ มี "จีน" จะสร้างรถไฟความเร็วสูงมารอที่นครเวียงจันทน์ สปป.ลาว ผ่านชายแดน "หนองคาย" มาถึง "กทม." และอนาคตข้างหน้า หากไทยสร้างสายใต้จาก "กทม.-ปาดังเบซาร์" จะไปเชื่อม "มาเลเซีย" ทะลุถึงสิงคโปร์ สายนี้ "จีน" สนใจและเซ็นบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) ร่วมกันกับรัฐบาลไทยจะศึกษาโครงการให้
อีกสายคือส่วนต่อขยาย "แอร์พอร์ตเรลลิงก์-พัทยา-ระยอง" เพราะจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและการเดินทางเชื่อมระหว่างเมืองได้เป็น อย่างดี เพราะ "ชลบุรี-ระยอง" นั้นเป็นเมืองอุตสาหกรรม โดยไม่จำ เป็นต้องใช้ระบบรถที่วิ่งด้วยความเร็วสูง 250 กม./ชม. สามารถปรับสปีดลงมาเท่า "แอร์พอร์ตลิงก์" วิ่งอยู่ 160 กม./ชม.ก็ได้ อีกทั้งใช้เงินลงทุนไม่สูงเพราะเวนคืนไม่มาก ส่วนใหญ่ใช้แนวเขตทางรถไฟสายตะวันออกเดิม
ล่าสุด "ร.ฟ.ท.-การรถไฟแห่งประเทศไทย" กำลังศึกษาโครงการ จะเสร็จสิ้นเร็ว ๆ นี้ เบื้องต้นจะมีระยะทาง 180 กม. เริ่มต้นจากลาดกระบัง ผ่านฉะเชิงเทรา ศรีราชา ชลบุรี พัทยา และระยอง มี 6 สถานี เงินลงทุนกว่า 1 แสนล้านบาท
สายนี้ "ประเทศญี่ปุ่น" ที่เป็นคู่ค้ากับไทยมานานให้ความสนใจไม่น้อย และเคยศึกษาโครงการเบื้องต้นให้มาแล้วก่อนหน้านี้
รอดูท่าที "คสช.และรัฐบาลใหม่" จะคิดต่างหรือเห็นแปลกแยกออกไปจากนี้ยังไง |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 20-06-2557
|
|
|
|
|