Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
ลูกหม้อพฤกษา ปิยะ ประยงค์ "ทาวน์เฮาส์ 2.5 ล้านคือโซนปลอดภัยของเรา" |
|
ในวงการทาวน์เฮาส์ บริษัทมหาชน "พฤกษา เรียลเอสเตท" ถือเป็นเจ้าตลาดที่ครองส่วนแบ่งในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลสูงสุดกว่า 20% ของมูลค่าตลาดรวมปีที่ผ่านมาประมาณ 6 หมื่นล้านบาท
จุดเด่นของ พฤกษาฯ คือ มีระบบก่อสร้างสำเร็จรูปพรีแฟบ ช่วยให้การก่อสร้างเสร็จเร็ว ส่งมอบบ้านได้ภายในเวลาไม่เกิน 3-4 เดือน จากทั่วไปใช้เวลา 5-6 เดือน บวกกับพัฒนาทาวน์เฮาส์มานานจนตกผลึกประสบการณ์หลายอย่างที่น่าสนใจ ทั้งเรื่องฟังก์ชั่นกับสภาพตลาด ล่าสุด "ปิยะ ประยงค์" กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจทาวน์เฮาส์ บมจ.พฤกษาฯ ให้สัมภาษณ์พิเศษเพื่อไขข้อมูลดังกล่าว
- ตลาดทาวน์เฮาส์ปีนี้
เดือน มกราคม-กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาไม่ค่อยดี แต่นับจากมีนาคมดีขึ้นชัดเจน การปรับตัวของบริษัทนับตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาปรับทิศทางจากเดิมจับกลุ่มชน ชั้นแรงงานหรือบลูคอลลาร์ เปลี่ยนเป้าหมายมาจับกลุ่มพนักงานบริษัทหรือไวต์คอลลาร์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจน้อยกว่า
ในแง่โปรดักต์ จากเดิมเน้นแบรนด์ "บ้านพฤกษา" ราคายูนิตละ 1 ล้านต้น ๆ ก็ปรับฐานใหม่มาเน้นแบรนด์ "พฤกษาวิลล์" กับ "เดอะคอนเน็ค" ราคายูนิตละ 2-3 ล้านบาท ทำเลขยับเข้ามาใกล้เมืองมากขึ้น จากเดิมอยู่รอบนอกหรือจังหวัดปริมณฑล
ปัญหาที่พบอีกอย่างที่บังคับ ให้เราต้องปรับตัวคือ สถาบันการเงินเข้มงวดปล่อยสินเชื่อ มีลูกค้ากู้ไม่ผ่านถึง 30% อย่างไรก็ตาม ได้ปรับกลยุทธ์การขายใหม่ จากเดิมขายบ้านสั่งสร้างมาเป็นขายบ้านสร้างเสร็จหรือเกือบเสร็จ ให้มีระยะเวลาผ่อนดาวน์อีก 1-2 งวดก็โอนกรรมสิทธิ์ เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกค้าไปก่อหนี้เพิ่มในระหว่างผ่อนดาวน์ ปรากฏว่าปริมาณลูกค้ากู้ไม่ผ่านลดลงจาก 30% เหลือ 20% กว่า ๆ ขณะเดียวกันก็ควบคุมสต๊อกบ้านไม่ให้เกิน 1-1 เดือนครึ่ง
- รีดีไซน์ตัวบ้านยังไงบ้าง
ปรับ มาหลายแบบมาก สิ่งที่เรียนรู้คือถ้าทาวน์เฮาส์แบบหน้ากว้างไม่ถึง 5 เมตรลูกค้าไม่นิยม เพราะจอดรถได้ไม่ถึง 2 คัน แบบที่ขายดีคือรุ่นหน้ากว้าง 5.5 เมตร 2-3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 100 ตารางเมตร ที่ดิน 18 ตารางวา ตัวนี้เวิร์กสุด ซึ่งเราออกแบบห้องใหญ่ชั้นบนให้คนหนึ่งใช้อาบน้ำและอีกคนหนึ่งใช้ปลดทุกข์ พร้อม ๆ กันได้
ส่วนในแง่การก่อสร้าง สิ่งที่พัฒนาอยู่คือนำระบบห้องน้ำสำเร็จรูปเข้ามาใช้ จากปัจจุบันงานก่อสร้างทาวน์เฮาส์ 1 หลังสัดส่วน 60-70% เป็นระบบสำเร็จรูป เช่น ผนัง พื้นไม้ โครงหลังคา ฯลฯ เหลืองานปูกระเบื้อง ทาสี ที่ยังต้องใช้แรงงานช่างอยู่
- ระดับราคาไหนที่ขายดี
ขายดี ทุกระดับราคา แต่วันนี้เศรษฐกิจไม่ดี เซ็กเมนต์แบรนด์บ้านพฤกษาราคาเฉลี่ย 1.2 ล้านบาทมีปัญหาลูกค้ากู้ไม่ผ่านสูง ปีนี้จึงมาเน้นแบรนด์ "พฤกษาวิลล์" ราคา 2-3 ล้านบาทเพิ่มขึ้น เพราะกำลังซื้อมีเรื่อย ๆ ยอดไม่ตกถึงแม้มีปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจ
พฤติกรรมลูกค้าจะมีต้อง การบ้าน 3 ห้องนอน มีพื้นที่ให้ต่อเติมครัวไทยได้ เน้นพื้นที่ใช้สอยกว้าง ๆ ตัวบ้านสร้างเต็มบนแปลงที่ดิน กับแบรนด์ "เดอะคอนเน็ค" และ "วิลเลจทาวน์โฮม" ราคาตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป แตกต่างกันที่สไตล์บ้านโมเดิร์นกับคอนเทมโพรารี่ จับกลุ่มคนทำงานในเมือง มีรถขับ ส่วนใหญ่เป็นสามี ภรรยา ลูก 1 คน ต้องการฟังก์ชั่น 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ แต่ขอห้องนอนใหญ่กว่าปกติ พื้นที่ส่วนกลางมีคลับเฮาส์ มีสวนสาธารณะ
ปัจจุบัน สัดส่วนการขายเป็นแบรนด์บ้านพฤกษา 35% พฤกษาวิลล์ 35% อีก 30% เป็นแบรนด์เดอะคอนเน็คและวิลเลจทาวน์โฮม ช่วงหลังมาขยายตลาดทาวน์โฮม 3 ชั้นเพิ่มขึ้น
- ทำไมผู้บริโภคต้องซื้อเรา
ถ้าเป็นสมัยก่อน เพราะเราทำราคาได้ถูก ราคาหลังละ 6.9 แสนบาท แต่สมัยนี้ซื้อเพราะคุ้ม ถ้าโลเกชั่นเดียวกันราคา 2.5 ล้านบาทเท่ากัน ซื้อบ้านของพฤกษาฯจะได้พื้นที่ใช้สอยมากกว่า ถ้าเป็นเซ็กเมนต์ราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาทตอนนี้ถือเป็น "โซนปลอดภัย" ของพฤกษาฯ เพราะในทำเลเดียวกันผู้เล่นรายอื่นอาจจะทำได้หลังเล็กกว่าหรือราคาสูงกว่า เหตุผลเป็นเพราะพฤกษาฯมีปริมาณสั่งซื้อวัสดุจำนวนมาก ทำให้ได้ต้นทุนต่ำ
- แผนลงทุนในปีนี้
หลัง จากปัญหาการเมืองเริ่มชัดเจนก็มีความมั่นใจจะเปิดโครงการใหม่มากขึ้น คาดว่าทั้งปีจะเปิดโครงการใหม่รวม 40-50 โครงการ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ คอนโดมิเนียม มูลค่าขายรวม 3 หมื่นล้านบาท โดยครึ่งปีแรกเปิดไปแล้วกว่า 20 โครงการ ครึ่งปีหลังจะรุกตลาดต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น เช่น ชลบุรี ระยอง ภูเก็ต ฯลฯ ส่วนเชียงใหม่ซื้อที่ไว้แล้วแต่ยังไม่เปิดตัวโครงการปีนี้ เพราะสำรวจแล้วพบว่าความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยไม่ค่อยเติบโต และมาเน้นภาคตะวันออกและภูเก็ตก่อน
ส่วนยอดขายทาวน์เฮาส์ กว่า 4 เดือนแรกที่ผ่านมาทำได้แล้วกว่า 5 พันล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปี 1.7-1.8 หมื่นล้านบาท ถือว่าได้ใกล้เคียงแผนเพราะจับกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ ถึงแม้มีปัญหาการเมืองช่วงที่ผ่านมาแต่ยอดขายก็ไม่ชะลอตัว
- ทำเลที่ตอบรับดี
กระจาย ๆ ไปทั่ว ไม่กระจุกแล้ว โซนที่ยอดขายดีก็จะมีรามคำแหง พระราม 5 ยอดขายใกล้เคียงกัน แต่ที่ดีที่สุดจะเป็นทำเลรามคำแหง แบรนด์ "พฤกษาวิลล์" และ "เดอะคอนเน็ค" ขายเฉลี่ยเดือนละ 20 ยูนิตต่อโครงการ หรือเกือบ 60 ล้านบาท ส่วนทำเลบางบัวทองยอดขายกลับไม่ค่อยดีเพราะราคาที่ดินขึ้นเร็วจนกำลังซื้อ ตามไม่ทัน ทำเลไม่ติดถนนจากไร่ละ 1-2 ล้านบาท ปัจจุบัน 4-5 ล้านบาท ถ้าพัฒนาต้องจับกลุ่มคนต่างถิ่น ไลฟ์สไตล์ลูกค้าที่เป็นฐานลูกค้า ใหญ่ของตลาดในวันนี้จะเป็นกลุ่มที่แยกครอบครัวออกมา อยู่กัน 2 เจเนอเรชั่น พ่อ-แม่-ลูก ถ้าเป็นทาวน์เฮาส์ระดับราคา 2 ล้านบาทขึ้นไป ทำเลต้องอยู่ติดถนนหรือในซอยที่ค่อนข้างกว้าง มีรถบริการสาธารณะเข้าถึง ตอบโจทย์ตรงนี้ได้ก็ไม่มีปัญหาเรื่องการขายแล้วครับ |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 06-06-2557
|
|
|
|
|