Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
"เอสซีจี" ไม่ยั่นกำไรลด 5% เทหน้าตักหมื่นล้านลงทุนสิบทิศ |
|
เอสซีจี (บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย) ประกาศผลประกอบการประจำงวดไตรมาส 1/57 ท่ามกลางมรสุมทางการเมืองที่ฉุดการทำงานของเครื่องยนต์เศรษฐกิจให้ติดขัด ปรากฏว่าสามารถปิดยอดขายที่จำนวน 121,765 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 11%
Q1 ค่าบาททุบกำไรหด 5%
ทั้งนี้ จากตัวเลขปิดยอดขาย 121,765 ล้านบาท เติบโต 11% นั้น มีกำไร 8,381 ล้านบาท เกินความคาดหมาย ถึงแม้กำไรจะลดลง 5% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/56 แต่เป็นเพราะในปี 2556 บริษัทได้กำไรพิเศษจากอัตราแลกเปลี่ยนกว่า 1,000 ล้านบาทลงลึกรายละเอียดยอดขาย
เอสซีจีมาจาก 3 กลุ่มธุรกิจหลักคือ "ธุรกิจปิโตรเคมี" จำนวน 60,826 ล้านบาท เติบโต 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน "ธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง" 47,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาส 1/56 และ "เอสซีจีเปเปอร์" มียอดขาย 15,953 ล้านบาท เติบโต 6%
ที่ต้องจับตามองคือ "กานต์ ตระกูลฮุน"กรรมการผู้จัดการใหญ่เอสซีจีระบุว่า แนวโน้มทั้งปีกำลังมองว่าจะสามารถปรับตัวเลขยอดขายได้สูงกว่า 4.78 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เคยประกาศไว้ รวมทั้งมีแนวโน้มจะปรับเป้าเติบโตสูงขึ้นมากกว่า 10% ตามไปด้วย
โฟกัสไปที่ตลาดซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างในประเทศ ไตรมาส 1/57 ภาพรวมยังเติบโต 4% เป็นผลจากความต้องการใช้จากโครงการก่อสร้างของเอกชนและภาครัฐ ส่วนแนวโน้มทั้งปี ทางเอสซีจีคาดการณ์ว่า "ปูน" มีโอกาสเติบโตมากที่สุดไม่เกิน 3% วัสดุก่อสร้างอื่น ๆ ทั้ง "กระเบื้องเซรามิก" มีแนวโน้มเติบโตติดลบ 10-13% "วัสดุทดแทน" มีแนวโน้มหดตัวไม่ต่ำกว่า 10% โดยบริษัทหันไปเน้นส่งออกตลาดอาเซียนซึ่งมีอัตราเติบโตสูงถึง 24% ได้ ถึงแม้ภาคซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างจะเติบโตไม่หวือหวา แต่ธุรกิจหลักอย่างปิโตรเคมีเป็นตัวที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยในช่วงกลางปีจะทบทวนแผนธุรกิจอีกครั้งเพื่อปรับเป้าหมายเติบโตเพิ่มขึ้น
4 ปียอดขายโตเท่าตัว
พลิกตารางดูผลประกอบการเอสซีจีตั้งแต่ปี 2550-2556 พบว่ายอดขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 2550 มีรายได้จากการขายกว่า 267,737 ล้านบาท ปี 2551 มีรายได้จากการขาย 293,230 ล้านบาท แต่ยอดขายดังกล่าวมาสะดุดในปี 2552 ซึ่งเป็นปีที่ผลกระทบจากวิกฤตซับไพรมเริ่มแผลงฤทธิ์ให้เห็น ส่งผลให้ราคาขายสินค้ากลุ่มเคมีภัณฑ์และกระดาษในตลาดโลกลดลง ยอดขายทั้งเครือหล่นมาอยู่ที่ 238,664 ล้านบาท หรือลดลง 19% จากปี 2551
อย่างไรก็ตาม หลังจากปี 2552 ยอดขายของบริษัทปรับตัวสูงขึ้น โดยในปี 2553 ยอดขายเติบโตกว่า 26% แตะ 3 แสนล้านบาทเป็นครั้งแรก ทั้งนี้เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของธุรกิจหลัก โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมีและกระดาษ หลังจากนั้นบริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อยมาจนทะลุ 4 แสนล้าน ในปี 2555 ซึ่งจบยอดขายทั้งปีที่ 407,601 ล้านบาท และในปี 2556 บริษัทมียอดขายกว่า 434,251 ล้านบาท เติบโตประมาณ 7% หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2552 เกือบ 1 เท่าตัว
ติดเครื่องลงทุนหมื่นล้าน
ในปี 2557 เอสซีจีตั้งเป้ามียอดขายเติบโต 10% คิดเป็นมูลค่าขายประมาณ 4.78 แสนล้านบาท ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ "กานต์" จะประกาศเดินหน้าขยายการลงทุนตามแผนที่วางไว้อย่างต่อเนื่อง
แม้เศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศจะไม่เป็นใจ จะเห็นได้จากไตรมาสแรกบริษัทเพิ่งใช้งบฯ ลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท กระจายการลงทุนในส่วนของธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ด้วยการร่วมทุนกว่า 506 ล้านบาท กับบริษัท ฟลอริม เซรามิเซ่ เอส.พี.เอ. จำกัด พันธมิตรธุรกิจกระเบื้องเซรามิกจากประเทศอิตาลีในสัดส่วน 33% ตั้งโรงงานผลิตกระเบื้องเซรามิก กำลังการผลิต 5 ล้านตารางเมตร/ปี ที่เมืองโบโลญญ่า เพื่อผลิตกระเบื้องขนาดใหญ่ระดับไฮเอนด์ภายใต้แบรนด์คอตโต้
ล่าสุด คณะกรรมการบริษัทอนุมัติเพิ่มอีกกว่า 10,000 ล้านบาท สำหรับก่อสร้างโรงงานซีเมนต์แห่งแรกใน สปป.ลาว กำลังการผลิต 1.8 ล้านตัน คาดว่าจะแล้วเสร็จไตรมาส 2/2560 เพื่อป้อนความต้องการใช้ของกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง (GMS) 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม
นอกจากนี้ยังมีโครงการลงทุนอยู่ระหว่างดำเนินการอีกหลายโครงการ เช่น โครงการโรงงานซีเมนต์ในประเทศอินโดนีเซีย (พร้อมเดินเครื่องจักรกลางปี 2558) เมียนมาร์ (เดินกำลังการผลิตได้กลางปี 2559) และการขยายไลน์ผลิตซีเมนต์ในกัมพูชา (เดินเครื่องจักรได้กลางปี 2558) นอกจากนี้ยังมีแผนจะเข้าซื้อโรงงานซีเมนต์ในเวียดนามด้วย
ปรับเล็ก...ก่อนปรับใหญ่
ในขณะที่ธุรกิจเครือซิเมนต์ไทยกำลังเติบโตต่อเนื่อง ก็แอบมีเซอร์ไพรส์เล็ก ๆ ในวงแถลงข่าว โดยไม่ได้มีการเอ่ยถึงบนเวที แต่เลือกใช้วิธีการทำ "ข่าวแจก" เนื้อหาสรุปสาระสำคัญเป็นเรื่องการปรับโครงสร้างบริหารงานขององค์กรใหม่ โดยมีการเพิ่มตำแหน่งบริหารระนาบ "รองกรรมการผู้จัดการใหญ่" 1 เก้าอี้และระนาบ "ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส" อีก 2 เก้าอี้ รายละเอียดเรื่องคน มติบอร์ดอนุมัติการแต่งตั้งซึ่งจะมีผลตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2557 เป็นต้นไป ตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี 2 คน ปรากฏชื่อผู้ได้รับแต่งตั้งคือ "ชลณัฐ ญาณารณพ" เอ็มดีใหญ่เอสซีจี เคมิคอลส์ กับ "พิชิต ไม้พุ่ม" เอ็มดีใหญ่เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เข้ามานั่งควบ
ขณะที่ "รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส" เอ็มดีใหญ่เอสซีจี เปเปอร์ เข้ามานั่งควบตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ทำให้ไม่ต้องคาดเดากันอีกต่อไปแล้วว่า "ใคร" จะก้าวเข้าสู่ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ของบริษัทแทน "กานต์ ตระกูลฮุน" ที่กำลังจะหมดวาระในปี 2558 |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 07-05-2557
|
|
|
|
|