Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
เปิดใจ ซีอีโอ SCG "ปีนี้เรารีวิวแผนธุรกิจแล้ว 3 รอบ" |
|
สถานการณ์ทางการเมืองที่ยืดเยื้อมากว่า 5 เดือน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่โดนหางเลขไปด้วย
เพราะนอกจากเอกชนส่วนใหญ่จะชะลอการลงทุน โครงการการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2 ล้านล้านบาทก็ต้องชะลอออกไปเพราะถูกวินิจฉัยว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ "กานต์ ตระกูลฮุน" กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีจี ในฐานะผู้นำตลาดซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง จะมาฉายภาพรวมตลาดและแผนธุรกิจของเครือเอสซีจีในช่วงเวลานี้
- สถานการณ์เศรษฐกิจปีนี้
เราเห็นสัญญาณเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว (พ.ย.-ธ.ค. 56) โดยเฉพาะธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างค่อนข้างชะลอ ถึงแม้ยังมีแรงส่งจากโครงการค้างท่อของภาครัฐ โครงการที่อยู่อาศัยของภาคเอกชนและภาคการพาณิชย์ โดยภาพรวมตลาดซีเมนต์ปีนี้น่าจะเติบโตลดลง ปีที่แล้วเติบโต 7% ปีนี้เดิมคาดการณ์จะเติบโต 9% แต่หลังจากทบทวนแผนก็ปรับลดประมาณการลงเรื่อย ๆ เหลือ 7% และ 5% ล่าสุดอาจเหลือ 2-3% ถือว่ามองโลกในแง่ดีแล้วว่ายังมีอัตราเติบโตอยู่บ้าง เพราะ 2 เดือนแรกที่ผ่านมา งานก่อสร้างชะลอตัวชัดเจน ภาพรวมปูนซีเมนต์ 2 เดือนแรกเริ่มชะลอตัวแล้ว คาดการณ์เติบโต 4-5% เท่านั้น
- การเมืองกระทบตลาดซีเมนต์อย่างไร
ภาพรวมซีเมนต์แบ่งตามเซ็กเตอร์ ได้แก่ 1) ภาครัฐ สัดส่วนการใช้ 30% ภาคที่อยู่อาศัย 53% และภาคก่อสร้างโครงการเพื่อการพาณิชย์อีก 17%
สำหรับโครงการภาครัฐ ไตรมาส 1 ปีนี้ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาอาจไม่เติบโต ส่วนไตรมาส 2-3 ต้องรอดู ถ้ายังไม่มีรัฐบาลใหม่ก็มีโอกาส "หดตัว" เพราะนับจากนี้ผมมองว่าดีมานด์จะเริ่มแผ่ว เพราะงานก่อสร้างภาครัฐใหม่ ๆ ยังไม่มี โครงการที่เป็นงบฯค้างท่อก็กำลังจะหมด เท่าที่เช็กกับผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ 4-5 ราย
ถึงต้นไตรมาส 4 งานในมือจะเริ่มหมด ส่วนผู้รับเหมารายกลาง อีกไม่กี่เดือนข้างหน้างานในมือจะเริ่มลดลงแล้ว
ส่วนในเซ็กเตอร์ "ที่อยู่อาศัย" ยังมีอานิสงส์จากโครงการต่าง ๆ ที่สร้างต่อเนื่อง ส่วนภาคการก่อสร้างเพื่อการพาณิชย์ เช่น โรงงาน แวร์เฮาส์ อาคารคอมเมอร์เชียล ฯลฯ ผมคิดว่าไตรมาส 1 ปีนี้จะเติบโต 10% แต่หลังจากนี้ดีมานด์จะค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ
- ปรับแผนธุรกิจอย่างไรบ้าง
เรารีวิวแผนปีนี้มา 3 รอบแล้วครับ ครั้งล่าสุดก่อนการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม งบฯลงทุนทั้งปีประมาณ 50,000 ล้านบาท ยังเดินหน้าเต็มที่ ไม่ได้ปรับลด โดยโครงการลงทุนในประเทศที่อยู่ระหว่างดำเนินการยังเดินหน้าต่อ มีเฉพาะโครงการร่วมทุนกับพาร์ตเนอร์ที่ต้องรออนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ "บีโอไอ" ก็ชะลอไปตามสภาพ เพราะต้องรอแต่งตั้งบอร์ดบีโอไอชุดใหม่
ตรงนี้เราพยายามคุยกับพาร์ตเนอร์ให้เขาประคองไว้ก่อน ไม่ให้เขาย้ายฐานการลงทุนไปประเทศอื่น ส่วนการลงทุนต่างประเทศยังเหมือนเดิม โดยแผนธุรกิจฉบับล่าสุดบอร์ดรับทราบและอนุมัติแล้ว ยังกำหนดอัตราเติบโตไม่น้อยกว่า 10% หรือมียอดขาย 477,000 ล้านบาท จากปีก่อน 434,000 ล้านบาท
- สภาพตลาดในประเทศ
เราเห็นภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวตั้งแต่ปีที่แล้ว เนื่องจากผลกระทบโครงการรถคันแรกดึงกำลังซื้อไป ตอนแรกลูกน้องบอกผมก็คิดว่าไม่จริงหรอก ! แต่สุดท้ายเริ่มจะเป็นจริง ผลกระทบตลาดวัสดุก่อสร้างชัดเจนมาก ช่วงปลายปียอดขายเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด กระเบื้องเซรามิกจับตลาดล่างหดตัว 3-4% แต่ตลาดกลางบนยังเติบโตเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม โดยรวมเรายังเดินกำลังผลิตเต็มที่ทุกกลุ่มธุรกิจ โดยปีที่ผ่านมาเอสซีจีมีสัดส่วนยอดขายในประเทศ 65% และต่างประเทศอีก 35% แนวโน้มอาจจะต้องส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 37-38%
- แนวโน้มตลาดส่งออกปี"57
แผนเดิมตั้งเป้าจะลดการส่งออกซีเมนต์จากกว่า 4 ล้านกว่าตัน เหลือ 3 ล้านตัน เพราะคาดว่าตลาดในประเทศจะดี แต่ล่าสุดเราจะคงสัดส่วนการส่งออกไว้ที่ 4 ล้านตันเหมือนเดิม หรืออาจจะมากกว่านั้น ตลาดที่มีโอกาสคือญี่ปุ่น ทราบว่าเริ่มไม่เพียงพอบริโภค
ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมาเอสซีจีส่งออกสินค้าในแถบอาเซียนประมาณ 40% โดยส่งออกซีเมนต์ไปสหภาพเมียนมาร์มากที่สุดเกือบ 2 ล้านตัน แนวโน้มปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้นเพราะดีมานด์เติบโตปีละ 10% โดยเฉพาะเรดดี้มิกซ์คอนกรีต (คอนกรีตผสมเสร็จ) เติบโตหลายสิบเปอร์เซ็นต์เพราะฐานต่ำมาก ส่วนดีมานด์ปูนซีเมนต์ในกัมพูชาก็เติบโตในอัตราที่ใกล้เคียงกัน
- การลงทุนในอาเซียน
กลยุทธ์ของเราคือการส่งสินค้าเข้าไปขายก่อน เมื่อมียอดขายในประเทศนั้น ๆ ถึงจุดหนึ่งเราก็จะเข้าไปตั้งโรงงาน ซึ่งมี 2 แนวทางคือก่อสร้างโรงงานใหม่ หรือใช้วิธีซื้อกิจการ แต่ตอนนี้เราเน้นการซื้อกิจการเพราะเร็วกว่า และคู่แข่งก็หายไปด้วย
โดยปี"56 เราเข้าไปลงทุนขยายกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ในกัมพูชาอีกปีละ 9 แสนตัน จะเริ่มผลิตกลางปี"58 ส่วนสหภาพเมียนมาร์ใช้เงินลงทุนกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท ก่อสร้างโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ กำลังผลิตปีละ 1.8 ล้านตัน จะเริ่มผลิตไตรมาส 2 ปี"59
ส่วนอินโดนีเซียรัฐบาลได้ประกาศแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ถือเป็นโอกาสที่ดีมาก เพราะโรงงานปูนซีเมนต์ของเราจะสร้างเสร็จช่วงกลางปีนี้พอดี กำลังการผลิต 1.8 ล้านตัน และมีโอกาสลงทุนโรงงานที่ 2 ในปีหน้า
- โอกาสลงทุนธุรกิจใหม่
เรารีวิวเรื่องนี้ตลอด แต่ตอนนี้ธุรกิจหลักยังมี 3 กลุ่มคือเคมีภัณฑ์ ซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และเปเปอร์ แต่จะเน้นการทำดิสทริบิวชั่น (ช่องทางจำหน่าย) ให้แข็งแรงมากขึ้น ทั้งในประเทศและอาเซียน |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 04-04-2557
|
|
|
|
|