|
Link
to us!!!
|
| ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
|
| เงินกู้ 2 ล้านล้านล่ม นับหนึ่งใหม่ ระบบโครงสร้างพื้นฐานไทย |
|
ไม่เหนือความคาดหมายสำหรับร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทที่ "รธน.-ศาลรัฐธรรมนูญ" วินิจฉัยขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญ ถึงดูเหมือนจะดับฝัน แต่โปรเจ็กต์ไม่ตายไปกับเงินกู้ ยังมีทางออก แต่ยังหาทางเข้าไม่เจอ หลัง "การเมือง" เดดล็อกกลายเป็นชนวนให้การเดินหน้าลำบาก ทั้งตั้งงบฯกลางปี จัดทำงบประมาณปี 2558 ตามไทม์ไลน์ต้องเริ่มพิจารณาในสภาเดือนเม.ย.นี้ เพื่อให้ทันใช้วันที่ 1 ต.ค. 2557
อวสานเงินกู้ แต่โครงการยังอยู่
แต่เมื่อ "รัฐบาลใหม่" ยังไม่มีทุกอย่างเลยหยุด และไม่รู้เมื่อไหร่การเมืองจะทำคลอดสำเร็จ ว่ากันว่าเร็วสุดเดือน พ.ค.-มิ.ย. อย่างช้าก็สิ้นปี เพราะกว่าจะฟอร์มทีมและแถลงนโยบายกินเวลาไปหลายเดือน
"ไม่มีเงินกู้ 2 ล้านล้าน เราหาทางออกไว้หมดแล้ว ตั้งแต่ศาลยังไม่มีคำชี้ขาด อยู่ที่กระทรวงการคลังจะหาเงินลงทุนใหม่ให้ยังไง คงพึ่งงบประมาณปี57 คงไม่พอเพราะกระทรวงคมนาคมได้รับจัดสรรงบฯแต่ละปี ส่วนใหญ่เป็นงบฯผูกพัน มีงบฯลงทุนใหม่แค่ 7 หมื่นล้านบาท แค่กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทก็หมดแล้ว" แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคมกล่าว
แม้จะมี "เหตุสุดวิสัย" ที่ทำให้โครงการไปสู่จุดมุ่งหมายล่าช้าไปจากเดิมตีกรอบให้เสร็จ 7 ปี แต่ "คมนาคม" เตรียมช่องทางไว้รองรับแล้ว อย่างน้อยเพื่อให้โครงการที่พร้อมและเร่งด่วนได้ไปต่อ
ทั้งงานปรับปรุงถนน ขยาย 4 เลน ซ่อมรางรถไฟ ส่วนโปรเจ็กต์ใหญ่ต้องกลับเข้าสู่วิธีปกติ รอ "คลังหาเงินกู้และรัฐบาลใหม่ไฟเขียว" เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ขณะที่ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านเป็นแค่การลัดขั้นตอนหาเงินมาลงทุนเร็วขึ้น2 ล้านล้านทำให้โลกมองไทย
ทั้งนี้ หากมองอีกแง่หนึ่ง "โครงการ 2 ล้านล้าน" ทำให้ประเทศไทยในปี 2556 เป็นสปอตไลต์ให้ทั่วโลกหันมามอง หลัง "รัฐบาลเพื่อไทย" ประกาศจะผลักดันการลงทุน
"ระบบโครงสร้างพื้นฐาน" ครั้งใหญ่ด้วยเม็ดเงิน 2 ล้านล้าน หวังพลิกโฉมระบบคมนาคมและการขนส่งของไทยก้าวไกลทันโลกใน 7 ปี หลังถูกแซงหน้าไปทุกระบบ ซึ่งการประกาศลงทุนระยะยาวอย่างนี้ เหมือนสร้างความมั่นใจให้กับทั่วโลกที่จะมาลงทุน มีหลายประเทศใน "ยุโรปและเอเชีย" ต่างสนใจและอยากจะสร้างคอนเน็กชั่นด้วย
โดยเฉพาะการถ่ายทอดความรู้ทางเทคโนโลยี ในรูปแบบความร่วมมือ ทั้ง "ญี่ปุ่น-จีน-เกาหลีใต้" ที่กระทรวงคมนาคมส่งคนร่วมร้อยไปเทรนด์เรื่อง "ระบบราง" เพื่อมาต่อยอดการพัฒนาระบบรางของไทยในอนาคต
ขณะที่ "นักลงทุนไทยและต่างประเทศ" ก็ให้ความสนใจไม่ขาดสาย โดยเฉพาะ "รถไฟความเร็วสูง" ที่เป็นไฮไลต์ และเนื้อหอมสุดสุด จน "รัฐบาลจีน" ขนเทคโนโลยีไฮสปีดเทรนมาโชว์ถึงที่นี่ พ่วงด้วยเซ็นบันทึกข้อตกลงหรือ MOU กับรัฐบาลไทยขอแลกข้าวไทยเป็นค่าก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง
ชัชชาติ...ฟีเวอร์
ขณะที่ "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" รมว.คนเขียนแผนโครงการ ก็ฟีเวอร์จนกลายเป็นโลโก้ 2 ล้านล้าน ทั้งปี 2556 "ชัชชาติ" ถูกเทียบเชิญไปพูดเรื่อง 2 ล้านล้านมาหลายเวทีจนเคลิ้มกันตลอดปี รวม 89 ครั้ง แบ่งเป็น Thailand 2020 (สร้างอนาคตประเทศไทย 2020) 13 ครั้ง เดินสายไปต่างจังหวัด 5 ครั้ง ต่างประเทศ 8 ครั้ง ได้รับเชิญจากหน่วยงานต่างประเทศในกรุงเทพฯ เช่น สถานทูต 10 ครั้ง และส่วนกลาง 43 ครั้ง
นอกจากจะเดินสายให้ข้อมูลโครงการเป็นรายภาคแล้ว สิ่งสำคัญคือเสียงสะท้อนกลับมา ที่ "ชัชชาติ" อยากได้ฟังมากที่สุด เพื่อมาปรับปรุงโครงการให้ฝ่าฟันไปได้ หลังมีข้อกังขาจากหลายฝ่าย ไม่ว่า...เป็นโครงการในฝัน ใช้เงินลงทุนเกินตัว สร้างหนี้ให้ลูกหลานยาวนานถึง 50 ปี
แต่สุดท้ายทุกอย่าง "กลับคืนสู่จุดเดิม" ทำให้การพัฒนาเมกะโปรเจ็กต์ของไทยถูกทอดเวลาออกไปอีก กว่าจะได้ลงทุนแต่ละโครงการ ก็ต้องสกรีนและทยอยทำตามเงินลงทุนที่มีจำกัด เพราะติดเพดานหนี้สาธารณะ จะไม่ได้เริ่มพร้อมกันอย่างที่หวัง
ซึ่ง "ชัชชาติ" กล่าวความในใจหลังศาลตัดสินว่า คำวินิจฉัยของศาลรธน. ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย หลังไปชี้แจงและได้ฟังแนวคำถามของท่าน รวมทั้งความเห็นของพยานผู้เชี่ยวชาญที่ศาลท่านเชิญมา พอจะคาดผลล่วงหน้า ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือกับสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เพื่อเตรียมแผนสำรอง
รอรัฐบาลใหม่สานต่อ
"ทั้ง 53 โครงการยังคงอยู่ แต่ต้องหาแหล่งเงินลงทุนใหม่ คงต้องใช้ พ.ร.บ.หนี้สาธารณะเป็นหลัก คมนาคมเตรียมรายละเอียดไว้เตรียมเสนอ ครม.ใหม่พิจารณาต่อไป ผลกระทบที่สำคัญคงเป็นเรื่องกรอบเวลาในการดำเนินการ ความมั่นใจ ความต่อเนื่องของโครงการ รัฐบาลใหม่คงจะต้องมีการปรับแผนให้เหมาะสมและชัดเจนต่อไป"
ถ้ายิ่ง "รัฐบาลใหม่" ไม่ใช่เพื่อไทย โปรเจ็กต์จะดีเลย์ไปอีกไหม หากนโยบายเปลี่ยน โดยเฉพาะ "ไฮสปีดเทรน" อาจจะเขย่าใหม่ คัดสายทางที่คุ้มค่าสุดมาเริ่มต้นอยู่ที่ "รัฐบาลใหม่" จะนำพาโครงการและประเทศไทยเดินหน้าพัฒนาไปทางไหน |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 17-03-2557
|
|
|
|
|
