Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
เทียบฟอร์มโครงสร้างพื้นฐาน "ไทย" อันดับ61ของโลก สิงคโปร์-มาเลย์กินขาดทุกระบบ |
|
บนเวทีสัมมนาโรดโชว์ "สร้างอนาคตไทย 2020" ภายใต้การลงทุน พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อเร็ว ๆ นี้
ครั้งนี้ "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พูดถึงการจัดอันดับโครงสร้างพื้นฐานปี 2556-2557 ของเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม ข้อมูลเพิ่งประกาศออกมาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
สำหรัประเทศไทย "ชัชชาติ" บอกว่า ผลจากการที่ไทยลงทุนโครงสร้างพื้นฐานน้อยมากในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา โดยมูลค่าลงทุนมีไม่ถึง 25% ของงบประมาณประจำปี เมื่อเทียบกับประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเล็กกว่าประเทศไทย 720 เท่า แต่ให้ความสำคัญลงทุนด้านนี้ถึง 150,000 ล้านบาท เทียบประเทศไทยใหญ่กว่ามาก ทว่า...ลงทุนประมาณ 100,000 ล้านบาทเท่านั้น
จึงเป็นที่มาว่าทำไมอันดับคุณภาพโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยล่าสุดในช่วงเวลาแค่ปีเดียวถึงหล่นพรวดพราด 12 อันดับ จากปีที่แล้วอยู่อันดับที่ 49 ตกไปอยู่อันดับที่ 61 ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศสิงคโปร์อยู่อันดับที่ 2 ประเทศมาเลเซียอยู่อันดับที่ 29
"สถิตินี้แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอด้านโครงสร้างพื้นฐานของไทยซึ่งเสื่อมโทรม ที่สำคัญนักลงทุนมองเห็นหมด"
หากดูรายละเอียดแยกรายสาขาก็พบว่า โครงสร้างพื้นฐานทาง "ถนน" ปีที่แล้วไทยอยู่อันดับที่ 39 ปีนี้หล่นอยู่อันดับที่ 42 ทาง "รถไฟ" จากอันดับ 65 ถูกปรับอันดับอยู่ที่ 72 แนวโน้มถ้าไม่มีการลงทุน ปีหน้ามีสิทธิ์ทะลุอันดับที่ 100
ส่วน "ท่าเรือ" ยังคงที่ โดยมีอันดับที่ 56 ด้าน "ท่าอากาศยาน" ที่ว่าแข่งขันได้ แต่ก็ยังอุตส่าห์หล่น 1 อันดับ จากอันดับที่ 33 มาอยู่อันดับที่ 34
"เทียบกับเพื่อนบ้านคือมาเลเซีย เขากินเราขาดทุกสาขา ถ้าเออีซีเปิด นักลงทุนไม่ต้องอยู่เมืองไทยก็ได้ ไปอยู่ที่มาเลเซียเพราะต้นทุนเขาถูกกว่า เพราะฉะนั้นเราต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรับการแข่งขัน ไม่ใช่แค่เราเห็นตัวเลขคนเดียว ทุกคนทั่วโลกเห็นเหมือนกันหมด"
พร้อมกับย้ำว่า ถ้ายังพึ่งขนส่งทางถนนมากถึง 86% เหมือนเดิม ศักยภาพประเทศไทยจะแข่งขันยากเพราะต้นทุนสูง ประเด็นสำคัญจึงต้องเปลี่ยนขนส่งจากถนนสู่รางให้มากขึ้น เพื่อเชื่อมต่อเพื่อนบ้าน ประตูการค้า และเชื่อมโยงภายในประเทศ โดยเฉพาะทางถนนและจุดคอขวดต่าง ๆ
"ปัญหาเห็นกันมา 20 ปีแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมองเห็น เพียงแต่ที่ผ่านมามีแต่อนุมัติโครงการ แต่ไม่มีใครลงมือทำอย่างจริงจัง"
ดังนั้นถึงเวลาต้องเอาจริง ให้โครงการและให้เม็ดเงินดำเนินโครงการควบคู่กันไป ภายใต้กรอบวงเงิน 2 ล้านล้านบาท ทยอยทำให้เสร็จใน 7 ปี เรียกว่าร่วมเดินหน้าไปพร้อม ๆ กัน ร่วมกันพลิกโฉมประเทศไทยนับจากนี้ไปถึงปี 2563 |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 18-10-2556
|
|
|
|
|