| freesplans.com | ศูนย์รวมแบบบ้าน และ ตกแต่ง หลากหลายสไตล์
ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป
: : g o  t o  m a i n p a g e : :
สถาปัตยกรรม | ตกแต่งภายใน | ดีไซน์-แกลอรี่ | แบบบ้านสวย | แนะนำ-ติชม | ถาม-ตอบ เรื่องบ้าน | ติดต่อเรา 
ขณะนี้มีผู้ชมอยู่ 55 ท่าน 
FreeSplanS MENU
Profession Search
+ งานสถาปัตยกรรม
+ งานวิศวกรรม
+ งานรับเหมาก่อสร้าง
+ งานรับเหมาเฉพาะด้าน
+ งานออกแบบ
+ งานอสังหาริมทรัพย์
+ งานบริการอาคาร
C a l c u l a t o r . . .
+ คำนวณปริมาณคอนกรีต
+ คำนวณปริมาณการใช้สี
+ คำนวณปริมาณกระเบี้องปูพื้นและผนัง
+ คำนวณปริมาณวอลเปเปอร์
+ คำนวณปริมาณ BTU แอร์
D o w n l o a d s . . .
+ Agreement & Forms
+ Program Utilities
+ Windows Font

 

Link to us!!!
Link to US!!!






ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง
 
กด Like เป็นกำลังใจให้เว็บด้วยนะค่ะ
| ข่าวทั้งหมด |

 fp 09-08-2556    อ่าน 1685
 "แลนด์"บุกอีสานลุยศูนย์การค้า 3ยักษ์ซุ่มซื้อโฮมโปร-วงในชี้"เอสซีจี"แรง

จับตาบิ๊กดีลซื้อกิจการโฮมโปร "เอสซีจี-ห้าง Harrods-เซ็นทรัล" วงในชี้เอสซีจีภาษีดีกว่า หวังเทกโอเวอร์โตทางลัดกุมธุรกิจศูนย์ค้าวัสดุเบ็ดเสร็จ เผยเบื้องหลัง "แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์" ขายหุ้นโฮมโปรต่อยอดลงทุนห้างเทอร์มินอล 21 อีก 2 สาขาที่จังหวัดขอนแก่น นครราชสีมา ควบศึกษาชะอำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้วงการธุรกิจค้าวัสดุกำลังจับตามองประเด็นการขายหุ้นบริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือโฮมโปร ที่มีบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือคิวเฮ้าส์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 30.21% (2,218 ล้านหุ้น) และ 19.77% (1,392 ล้านหุ้น) ตามลำดับ เบ็ดเสร็จถือหุ้นรวมกันคิดเป็นสัดส่วน 49.98% ของทั้งหมด

โดยก่อนหน้านี้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา นายรัตน์ พานิชพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ ได้ออกมายอมรับเป็นครั้งแรกว่าแลนด์ฯและคิวเฮ้าส์มีแผนจะขายหุ้นที่ถืออยู่ในโฮมโปร ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจา โดยมีนายหน้าของนักลงทุนจากต่างประเทศติดต่อเข้ามาหลายราย



คู่ชิง "เอสซีจี-Harrods"

แหล่งข่าวจากบริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ดีลขายหุ้นโฮมโปรครั้งนี้ เท่าที่ทราบมีผู้สนใจ 2 รายที่อยู่ระหว่างเจรจา รายแรกคือ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย หรือเอสซีจี ที่ผ่านมาเอสซีจีเคยยื่นข้อเสนอซื้อหุ้นโฮมโปรเข้ามาแล้ว แต่ดีลไม่จบเนื่องจากตกลงราคากันไม่ได้ ส่วนอีกรายเป็นนักลงทุนต่างชาติ มีข่าวว่าน่าจะเป็นกลุ่มห้างสรรพสินค้า Harrods จากประเทศอังกฤษ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเสนอราคาให้สูงกว่ากัน

อย่างไรก็ตาม เอสซีจีน่าจะเป็นบริษัทที่มีภาษีดีกว่า เพราะในวงการเป็นที่รับรู้กันว่าเอสซีจีพยายามเจรจาซื้อกิจการโฮมโปรมาไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี เพื่อใช้เป็นเส้นทางลัดขยายไลน์ธุรกิจศูนย์จำหน่ายวัสดุโมเดลใหม่ที่เป็นร้านขนาดใหญ่ติดแอร์ จากปัจจุบันที่มีโมเดลธุรกิจร้านค้าวัสดุอยู่ 2 รูปแบบ คือ ร้านผู้แทนจำหน่ายโฮมมาร์ท และสยามโกลบอลเฮ้าส์ ที่เป็นศูนย์ค้าวัสดุขนาดใหญ่ในรูปแบบคลังสินค้าไม่ติดแอร์ มีพื้นที่ต่อสาขาไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นตารางเมตร

ทั้งนี้ กรณีของสยามโกลบอลเฮ้าส์ ทางเอสซีจีเข้ามาดำเนินธุรกิจโดยการซื้อหุ้นบางส่วนจากกลุ่ม "สุริยวนากุล" ในปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ในบริษัท

"ถึงแม้เอสซีจีถือหุ้นอันดับ 2 ในโกลบอลเฮ้าส์ แต่ด้วยจำนวนสาขาที่ยังมีไม่มากประมาณ 20 กว่าแห่ง ในแง่การบริหารเชื่อว่ายังไม่ได้รู้จริง ดังนั้นถ้าจะกุมธุรกิจศูนย์ค้าวัสดุได้อย่างเบ็ดเสร็จ โฮมโปรคือเป้าหมายต่อไป เพราะมีสาขาแล้วถึง 58 แห่ง"

ต่อยอดลงทุนห้างเทอร์มินอล

แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า เหตุผลที่นายอนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการบริหาร บมจ.แลนด์ แลนด์ เฮ้าส์ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่โฮมโปรผ่านทางแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ต้องการขายหุ้นออกไป เพราะต้องการขยายการลงทุนในธุรกิจศูนย์การค้าแบรนด์ "เทอร์มินอล" ทราบมาว่ามีแผนเปิดสาขาใหม่อีก 2 แห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดขอนแก่น นครราชสีมา รวมถึงศึกษาที่ชะอำไว้ด้วย น่าจะต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 1 หมื่นล้านบาท จึงคาดว่าหากขายหุ้นโฮมโปรออกไปก็น่าจะนำเงินที่ได้มาต่อยอดลงทุนศูนย์การค้า

"ตอนนี้คุณอนันต์ (อัศวโภคิน) กำลังสนุกกับการทำศูนย์การค้าเทอร์มินอล ส่วนราคาหุ้นโฮมโปรก็ขยับขึ้นมาสูงแล้ว การขยายสาขาของโฮมโปรก็เริ่มเข้าใกล้จุดพีกแล้ว ปีนี้จึงต้องเริ่มแตกโมเดลใหม่เป็น

โมเดิร์นเทรดค้าวัสดุแบบไม่ติดแอร์ชื่อเมกาโฮม และเตรียมเปิดสาขาต่างประเทศที่มาเลเซีย จึงเป็นจังหวะที่ดีหากจะขายหุ้นออกไป"

แหล่งข่าวประเมินด้วยว่า ในอนาคตกลุ่มแลนด์ฯจะคงเหลือธุรกิจหลักคือ พัฒนาที่อยู่อาศัย โรงแรม และศูนย์การค้า ส่วนธุรกิจอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์ก็ทยอยขายหุ้นออกไป เริ่มจากการขายหุ้น

บมจ.ควอลิตี้คอนสตรัคชั่นโปรดัคส์ ผู้ผลิตคอนกรีตมวลเบาคิวคอนให้กับเอสซีจี ขายหุ้นที่ถืออยู่ในโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปัจจุบันคงเหลือธุรกิจของโฮมโปร

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามนางสุวรรณา พุทธประสาท รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด ได้กล่าวปฏิเสธว่า ขณะนี้ยังไม่มีแผนหรือเจรจากับนักลงทุนที่สนใจซื้อหุ้นโฮมโปร

ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด หรือเอสซีจี ได้ปฏิเสธที่จะกล่าวถึงการเจรจาซื้อหุ้นโฮมโปรมาโดยตลอด

จับตากลุ่มเซ็นทรัลม้ามืด

แหล่งข่าวจากร้านผู้แทนจำหน่ายโฮมมาร์ทรายหนึ่งเปิดเผย ว่า ในแวดวงธุรกิจโฮมมาร์ทรับรู้ว่าเอสซีจีสนใจซื้อโฮมโปรมาก มีความเคลื่อนไหวเปิดเจรจาตลอดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ตกลงราคากันไม่ได้ เพราะแนวทางการทำธุรกิจของเอสซีจีในยุคกรรมการผู้จัดการใหญ่ นายกานต์ ตระกูลฮุน มุ่งเน้นการควบรวมกิจการ แต่การซื้อขายหุ้นราคาต้องสมเหตุสมผล

อย่างไรก็ตาม นอกจากเอสซีจีแล้ว กลุ่มที่มีโอกาสเป็นม้ามืดซื้อหุ้นโฮมโปรคือ กลุ่มเซ็นทรัลของตระกูลจิราธิวัฒน์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีเงินทุนหนา และกำลังเร่งขยายสาขาไทวัสดุที่เป็นศูนย์ค้าวัสดุแบบไม่ติดแอร์ลักษณะเดียวกับสยามโกลบอลเฮ้าส์ และสาขาของโฮมเวิร์ค บมจ.โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ ปัจจุบันมีสาขา 58 แห่ง ปีนี้มีแผนเปิดสาขาใหม่ไม่ต่ำกว่า 8 แห่ง ขณะที่ผลประกอบการ 6 เดือนแรก ปี 2556 มีรายได้รวม 20,391 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,421 ล้านบาท

โบรกฯแจงไม่เชื่อว่าจะขาย

ผู้สื่อข่าวรายงานความเห็นของนักวิเคราะห์ในตลาดหุ้นระบุว่า กระแสข่าวการทำดีลขายหุ้น บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) ในส่วนที่ บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QH) และ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) ถือนั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง เนื่องจากก่อนหน้านี้นายรัตน์ พานิชพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร QH ได้ออกมาปฏิเสธว่า ผู้สนใจเข้ามาซื้อยังให้ราคาที่ไม่ถูกใจ ประกอบกับในมุมมองของฝ่ายวิเคราะห์เห็นว่า หากดีลดังกล่าวจะเกิดขึ้น จะได้รับผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่านัก

เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นยังมีทิศทางขาลง หากขายหุ้นในราคาหุ้นละ 14 บาท LH จะได้กำไรจากการถือหุ้น 2,128 ล้านหุ้น ที่ราคา 2.66 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น(EPS) 2.60 บาทเท่านั้น ส่วน QH ซึ่งถืออยู่ 1,392 ล้านหุ้น จะได้กำไร 1.74 ล้านบาท หรือ EPS 1.90 บาทเท่านั้น อีกทั้งการขายหุ้นในราคาระดับนี้นับว่าต่ำกว่าราคาพื้นฐานของหุ้น HMPRO ซึ่งมีราคาหุ้นละ 18-19 บาท ซึ่งจะทำให้ทั้ง LH และ QH ตัดโอกาสการทำกำไรของตัวเอง เมื่อเทียบกับเงินปันผลที่ได้รับปีละ 11%

ในความเห็นของนักวิเคราะห์จึงระบุว่า LH และ QH น่าจะรอจังหวะตลาดที่จะให้ราคาหุ้นดีกว่านี้ แล้วค่อยขายหรือถือต่อเนื่องถึง 1-2 ปี เพื่อรับโอกาสการเติบโตของธุรกิจ
  
ที่มา
[ ประชาชาติธุรกิจ  ] วันที่ 09-08-2556 

ค้นหาข่าวด้วยรหัส

รหัส








webmaster คลิกที่นี่

Copyright 2002 freesplans Design solution, Inc.