Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
โรดแมป"คอตโต้"สู่โกลบอลแบรนด์ ชูโมเดลโฮมโซลูชั่น-สตูดิโอเจาะลูกค้าไทยทะลุAEC |
|
"คอตโต้" ต่อยอดแผนปรับโครงสร้างองค์กร-ซื้อหุ้นคืนจากโตโต้กรุ๊ป ประกาศแผนยกระดับเป็นโกลบอลแบรนด์สินค้าสุขภัณฑ์-ก๊อกน้ำ ปรับโฉมโฮมโซลูชั่น-คอตโต้สตูดิโอรวม 40 สาขาทั่วประเทศ ดึงคนต่างจังหวัดช็อปโมเดิร์นเทรด โชว์ผลงานครึ่งปีแรกคว้ายอดแล้วประมาณ 3,000 ล้าน มั่นใจสิ้นปีนี้ทำรายได้ 5,900 ล้านบาทได้ตามเป้า
นายธนศักดิ์ สาคริกานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามซานิทารีแวร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสุขภัณฑ์และก๊อกน้ำแบรนด์คอตโต้ ในเครือเอสซีจี เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ เอสซีจีได้มีการปรับโครงสร้างบริหารงานภายใน โดยรวม 3 ธุรกิจ ได้แก่ ซีเมนต์, ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และจัดจำหน่ายเข้าด้วยกัน รวมเรียกว่า เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง (SCG Cement-Building Materials) ภายใต้โครงสร้างใหม่ ทำให้มีความพร้อมและมีศักยภาพสูงในการเปิดเกมรุกทางการตลาดในกลุ่มเป้าหมายประเทศอาเซียน
โตโต้...จากกันด้วยดี
ล่าสุดจากกรณีที่เอสซีจีได้ซื้อหุ้นโตโต้กรุ๊ป ประเทศญี่ปุ่น ทั้งหมดในบริษัท สยามซานิทารีแวร์ จำกัด และบริษัท สยามซานิทารีฟิตติ้งส์ จำกัด มูลค่ารวม 2,600 ล้านบาท ส่งผลให้กลุ่มเอสซีจีเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของทั้ง 2 บริษัท รวมแล้วมีสัดส่วน 71% พร้อมกับขายหุ้นโตโต้ที่ถือครองอยู่สัดส่วน 40% คืนให้กับโตโต้กรุ๊ป ประมาณ 368 ล้านบาท ทำให้การดำเนินงานของตลาดในประเทศและต่างประเทศของบริษัททำได้อย่างเป็นอิสระและมีความคล่องตัวสูง จากเดิมที่มีข้อจำกัดในการเซตแผนการตลาดเชิงรุก
"เรากับโตโต้จากกันด้วยดี วิน-วินทั้งคู่ ไม่มีปัญหา โตโต้ ญี่ปุ่นก็ยังจ้างเราผลิตสินค้าแบบ OEM ให้เหมือนเดิม ผมว่ามันเป็นกลยุทธ์แตกแล้วโตมากกว่า ส่วนเหตุผลที่แยกกันในครั้งนี้หลังอยู่ด้วยกันมานานกว่า 27 ปี เป็นเพราะโตโต้อยากที่จะเป็นโกลบอลแบรนด์ ส่วนคอตโต้ก็มีเป้าหมายเป็นผู้นำในอาเซียน ในอนาคตเรามีแผนที่จะขยายตลาดไปยุโรปและอเมริกา ถ้ายังอยู่ด้วยกันก็ไม่สามารถไปถึงเป้าหมายได้เพราะมันมีข้อตกลงร่วมกันอยู่"
ปูพรมแผนธุรกิจเชิงรุก
นายธนศักดิ์กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 5,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 10-15% ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มียอดขายแล้วประมาณ 3,000 ล้านบาท ดังนั้นมั่นใจว่าสิ้นปีนี้จะทำยอดขายได้ตามเป้าที่วางไว้ ปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวม 2.5 ล้านชิ้น/ปี ในจำนวนนี้เป็นการผลิตภายใต้แบรนด์โตโต้ สัดส่วน 20-30% หรือประมาณ 7.5 แสนชิ้น/ปี มีส่วนแบ่งตลาดรวมเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 40%
แผนธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะทำการตลาดผ่านกลยุทธ์หลัก 1)ออกสินค้าใหม่ให้ครอบคลุมตลาดทุกเซ็กเมนต์ ครอบคลุมลูกค้าเป้าหมายทั้งกำลังซื้อระดับบน-กลาง-ล่าง ถัวเฉลี่ยสินค้าคอตโต้จะมีราคา
เริ่มต้น 2,500-40,000 บาท/ชิ้น 2)
กลยุทธ์สร้างแบรนด์คอตโต้มุ่งสู่ตลาดกลุ่มไฮเอนด์และซูเปอร์ไฮเอนด์ภายใน 3-5 ปี ตัวชี้วัดคือคอตโต้จะต้องเป็นสินค้าโกลบอลแบรนด์
3)พัฒนาสินค้าที่ตอบสนองลูกค้ากลุ่มผู้พิการและผู้สูงอายุ หรือสินค้ายูนิเวอร์
แซลดีไซน์ เพื่อรองรับแนวโน้มสังคมไทยที่จะมีประชากรผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น 4)พัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) หรืออีโคโปรดักต์อย่างต่อเนื่อง 5)บริหารจัดการช่องทางจำหน่ายเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้า
เป้าหมายให้ได้เร็วที่สุด ผ่านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศกว่า 400 รายและ 6)ทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ในการจัดอบรมสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์
ทั้งนี้บริษัทมีเป้าหมายที่จะรุกตลาดอย่างจริงจังทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนและทั่วโลก ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนส่งออกประมาณ 30% ในจำนวนนี้กว่า 50% เป็นลูกค้าในกลุ่มอาเซียน โดยมีอินโดนีเซียเป็นตลาดใหญ่ที่สุด
ดึงลูกค้าช็อปคอตโต้ สตูดิโอ
สำหรับตลาดในประเทศที่มีสัดส่วน 70% ของยอดขายรวม ในปีนี้มีแผนขยายสาขาโฮมโซลูชั่น ในร้านโฮมมาร์ทเพิ่มเป็น 20 สาขา จากเดิมที่มีอยู่แล้ว 14 สาขา และเพิ่มสาขาคอตโต้ สตูดิโอ เป็น 20 สาขา จากเดิมมี 16 สาขา ส่วนใหญ่จะกระจายอยู่ในต่างจังหวัดที่เป็นหัวเมืองหลัก เน้นรองรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายรายย่อย โดยเน้นขายแบบรีเทลซึ่งเป็นช่องทางจัดจำหน่ายให้กับเอนด์ยูสเซอร์โดยตรง
"การทำตลาดในต่างประเทศ ผมว่ามันเป็นเรื่องยากและท้าทายอยู่แล้ว เพราะมีแบรนด์ระดับโลกที่ทำตลาดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโคห์เลอร์ โตโต้ เราต้องพยายามพัฒนาสินค้านวัตกรรมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้ออกมาสู่ตลาดมากขึ้นเช่นกัน" นายธนศักดิ์กล่าวและว่า
สำหรับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงจากอดีตอย่างมาก เป็นกลุ่มที่มีความรู้ ต้องการให้มีการตอบสนองที่รวดเร็ว นิยมสินค้าที่มีแบรนด์ และมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย ขณะเดียวกันก็ต้องบริการหลังการขายที่ตอบสนองได้รวดเร็วเช่นกัน
"เทรนด์การซื้อสินค้าที่เราพบคือนิยมซื้อสินค้าที่จัดเป็นเซตพร้อมจัดโปรโมชั่นส่วนลด เปลี่ยนรูปแบบใหม่ ๆ ทุก 3 เดือน วิธีนี้ลูกค้าจะชอบมากเพราะทำให้ตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น" นายธนศักดิ์กล่าว |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 05-07-2556
|
|
|
|
|