|
Link
to us!!!
|
| ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
|
| "เอสซีจี"เดินสายเคลียร์คู่ค้าโฮมมาร์ท500ราย ดีลซื้อหุ้นโกลบอลเฮ้าส์ป่วน1เดือนเต็ม-การันตีอุ้มเอเย่นต |
|
นายธงชัย โสภณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เน็ตเวิร์ค แมเนจเม้นท์ จำกัด ในธุรกิจจัดจำหน่ายเอสซีจี ผู้บริหารเครือข่ายร้านผู้แทนจำหน่ายเครือเอสซีจี เปิดเผยว่า จากกรณีที่เอสซีจีได้เข้าไปซื้อหุ้นใน บมจ.สยามโกลบอลเฮ้าส์ ผู้ดำเนินธุรกิจศูนย์วัสดุก่อสร้างและตกแต่งขนาดใหญ่แบบ "บิ๊กบอกซ์" (big box) และมีการตั้งข้อสังเกตว่า มีร้านผู้แทนจำหน่ายเอสซีจี
ภายใต้แบรนด์ "โฮมมาร์ท" เกิดความกังวลว่าจะทำให้ร้านผู้แทนจำหน่ายที่มีอยู่เดิมทำธุรกิจได้ยากลำบากขึ้น เนื่องจากจะเกิดการแข่งขันกันเอง ในฐานะผู้บริหารยืนยันว่ายังคงให้ความสำคัญกับร้านผู้แทนจำหน่ายทั้งหมดเหมือนเดิม ไม่ได้ลดบทบาทลง และมั่นใจทั้ง 2 ส่วนจะสามารถเติบโตควบคู่กันได้
เหตุผลคือทั้ง 2 ส่วนจับลูกค้าเป้าหมายคนละกลุ่มกัน โดยร้านผู้แทนจำหน่ายโฮมมาร์ทจะจับกลุ่มลูกค้าเซ็กเมนต์กลาง-บน พ่วงกับจุดขายมีบริการโซลูชั่นต่าง ๆ ทั้งให้คำปรึกษาเจ้าของบ้านใหม่และบ้านใหม่ที่ต้องการซ่อมใหญ่ ขณะที่สยามโกลบอลเฮ้าส์จับกลุ่มลูกค้าระดับกลางล่าง ที่สำคัญ เป้าหมายหลักส่วนหนึ่งของเอสซีจีเพื่อเข้าไปเรียนรู้การบริหารธุรกิจค้าปลีกวัสดุซึ่งเอสซีจีไม่มีความชำนาญ เพื่อจะได้นำโนว์ฮาวไปต่อยอดการลงทุนในอาเซียน ซึ่งเป็นตลาดนอกประเทศ ไม่ได้ต้องการให้มาแทนที่ร้านโฮมมาร์ทแต่อย่างใด และหลังจากได้ชี้แจงแล้วก็เข้าใจว่าทั้ง 2 ส่วนสามารถเติบโตควบคู่กันไปได้ และถึงปัจจุบันการค้าขายระหว่างเรากับเอเย่นต์ก็เป็นปกติ
"พอแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่องซื้อหุ้นสยามโกลบอลเฮ้าส์ เราก็เชิญเอเย่นต์กว่า 10 จังหวัด ที่มีร้านอยู่ในจังหวัดเดียวกับที่สยามโกลบอลเฮ้าส์มีสาขาตั้งอยู่มาทำความเข้าใจ และหลังจากนั้นก็ได้เดินสายทั่วประเทศเพื่อชี้แจงให้ข้อมูลกับเอเย่นต์ รวมแล้วประมาณ 1 เดือนประกอบด้วยร้านภายใต้แบรนด์โฮมมาร์ทที่เน้นจับกลุ่มเจ้าของบ้าน และร้านแบบ authorized dealer ที่เน้นการขายโครงการ ช่าง และผู้รับเหมา ที่มีทั้งหมดกว่า 500 ราย แรก ๆ เขาก็มีความกังวลว่าจะทิ้งเอเย่นต์ หรือหันไปให้ความสำคัญกับการขายสินค้าผ่านทางโกลบอลเฮ้าส์หรือไม่
แต่ยืนยันได้ทันทีว่าไม่มีแน่นอน"
นายธงชัยกล่าวต่อว่า ยอดขายสินค้าผ่านร้านโฮมมาร์ทปีที่ผ่านมามีมูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 7 หมื่นล้านบาท เติบโต 12-13% แบ่งเป็นสัดส่วน 70% มาจากลูกค้าโครงการ อีก 30% มาจากการขายปลีก ซึ่งเอสซีจีเป็นคู่ค้ากับเอเย่นต์มาประมาณ 70 ปี ในอนาคตต้องทำธุรกิจกันอีกนานจึงไม่อยากให้เกิดความกังวล
ส่วนผลกระทบกับร้านผู้แทนจำหน่ายที่เป็นรายกลางรายเล็ก ถึงแม้เอสซีจีไม่ซื้อหุ้นโกลบอลเฮ้าส์ แต่กลไกตลาดระหว่างเอเย่นต์ด้วยกันก็มีการแข่งขันกันเองบ้างอยู่แล้ว จำเป็นต้องปรับตัวพัฒนาร้านให้ดีขึ้นเพื่อรับมือกับการแข่งขันอยู่ตลอดเวลา
ขณะที่การแข่งขันเรื่องราคาสินค้ามั่นใจว่าจะแข่งขัน โดยสินค้าในกลุ่มเดียวกัน เช่น สุขภัณฑ์ กระเบื้อง ฯลฯ ก็จะมีทั้งรุ่นขายแพงและถูกกว่าสลับกันไป แต่สุดท้ายผู้บริโภคจะเป็นคนเลือกเองว่าจะซื้อที่ร้านผู้แทนจำหน่ายเอสซีจีที่มีสินค้าและบริการให้คำปรึกษาด้วย หรือจะซื้อที่สยามโกลบอล เฮ้าส์ ซึ่งมีของให้เลือกมากกว่าแต่ตัดเรื่องบริการออกไป
ทั้งนี้ นับจากปี 2556-2560 บริษัทได้ตั้งงบฯลงทุนเพื่อพัฒนาเครือข่ายร้านผู้แทนจำหน่ายรวม 3 พันล้านบาท โดยในปีหน้าจะเน้นเรื่องการสร้างแบรนด์ และปรับรูปแบบการบริการ การจัดกิจกรรมการตลาด ให้เป็นรูปแบบเดียวกันทั้งหมด หรือที่เรียกว่า "สแตนดาร์ดไดรฟ์" คล้าย ๆ กับรูปแบบร้าน 7-11 จากปัจจุบันที่รูปแบบร้านภายนอกเป็นมาตรฐานเดียวกัน แต่การบริการ ในบางสาขายังมีคำคอมเมนต์จาก
ผู้ใช้บริการอยู่บ้าง โดยบริษัทเริ่มส่งเจ้าหน้าที่ที่เป็นคนของเอสซีจีเข้าไปประจำในตำแหน่งผู้จัดการร้าน จากเดิมที่เถ้าแก่เป็นคนดูแลรับผิดชอบเองทั้งหมด |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 23-11-2555
|
|
|
|
|
