Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
โหรเคแบงก์..ฟันธง "ชาติชาย พยุหนาวีชัย"ไตรมาสสุดท้าย..ดอกเบี้ยบ้านจะปรับขึ้น |
|
สัมภาษณ์พิเศษ
แนวโน้มดอกเบี้ยบ้าน 3 เดือนสุดท้ายจะเป็นอย่างไรเป็นประเด็นฮอตสำหรับคนซื้อและคนขายบ้าน เพราะทุก ๆ อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น 1% จะมีผลให้ภาระผ่อนเงินงวดต่อเดือนเพิ่มขึ้น 7%
แม้ว่าล่าสุดคณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 3% แต่นายแบงก์แถวหน้าอย่าง "พี่บู๊-ชาติชาย พยุหนาวีชัย" รองกรรมการผู้จัดการสายงาน
ธุรกิจลูกค้าบุคคลและเครือข่ายบริการ ธนาคารกสิกรไทย (เคแบงก์) ออกมาฟันธงว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านช่วง 3 ปีแรกที่เรียกว่าเป็น "ดอกเบี้ยโปรโมชั่น"มีโอกาสสูงที่จะปรับขึ้น "ประชาชาติธุรกิจ" สัมภาษณ์พิเศษผู้บริหารเคแบงก์ ที่มีส่วนแบ่งตลาดสินเชื่อบ้านเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในหลากหลายประเด็นเกี่ยวกับสินเชื่อบ้าน
"คอนเฟิร์มว่าเร็ว ๆ นี้มีโอกาสที่ดอกเบี้ยบ้านช่วงโปรโมชั่น 3 ปีแรกจะปรับขึ้น 25 สตางค์ ตอนนี้แต่ละแบงก์กำลังดูท่าทีกันอยู่"
เหตุผลว่าทำไมดอกเบี้ยบ้านจะปรับขึ้น เพราะทุกแบงก์แข่งขันทำแคมเปญออกมาระดมเงินฝาก ทั้งฝากประจำสั้น-ยาว ทำให้ต้นทุนเงินฝากเพิ่มขึ้น
เห็นได้ว่าก่อนหน้านี้มีผู้บริหารบางธนาคารออกมาพูดว่ามีโอกาสที่ดอกเบี้ยบ้านจะปรับขึ้น เพราะไม่ได้พิจารณาเฉพาะต้นทุนดอกเบี้ยนโยบายเพียงอย่างเดียว แต่ต้องดูต้นทุนดอกเบี้ยเงินฝากด้วย ส่วนอัตราดอกเบี้ยเอ็มอาร์อาร์ (อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี) น่าจะยังทรงตัว เป็นปัจจัยบวกให้คนยังอยากซื้อบ้านอยู่
ถึงแม้ทิศทางดอกเบี้ยเริ่มเป็นขาขึ้น แต่ผู้บริหารเคแบงก์บอกด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า ด้วยภาวการณ์แข่งขันในตลาดสินเชื่อ เชื่อว่าไตรมาสสุดท้ายจะยังเห็นแบงก์ทำแคมเปญดอกเบี้ย 0% อยู่ แต่ระยะเวลาอาจจะสั้นลง จาก 6-9 เดือนลดเหลือ 3-6 เดือน และแนวโน้มปีหน้าก็น่าจะมีดอกเบี้ย 0% สูงสุดไม่น่าจะเกิน 6 เดือน
จากประสบการณ์ร่วม 10 ปีที่ดูแลพอร์ตสินเชื่อบ้านให้กับเคแบงก์ "พี่บู๊-ชาติชาย" ระบุว่า พอร์ตสินเชื่อบ้านสะสมของเคแบงก์ปัจจุบันมีประมาณ 2.2 แสนล้านบาท เติบโตขึ้นจากเมื่อ 10 ปีก่อน 600% มีสัดส่วนการเป็นเอ็นพีแอลประมาณ 1.3-1.4% หรือกว่า 2 พันล้านบาท ถือว่าอยู่ในระดับต่ำ
ขณะที่เป้าหมายสินเชื่อบ้านปล่อยใหม่ปีนี้คือ 5 หมื่นล้านบาท คีย์ซักเซสมาจากการสร้างโปรดักต์ที่แตกต่าง !
"เดิมลูกค้ากู้แบงก์แล้วผ่อนหมดก็จบกันไป แต่นับจากปี"48 ชัดเจนว่าเคแบงก์พยายามสร้างความแตกต่างด้วยการทำเคโฮม สไมล์คลับ เป็นศูนย์บริการลูกค้าที่มีทั้งเซอร์วิสก่อนและหลังกู้สินเชื่อ จะว่าเคแบงก์เป็นรายแรกของโลกที่ทำก็ได้"
ปัจจุบันเคโฮม สไมล์ คลับ มี 3 สาขาคือ สาขาสีลม คริสตัลดีไซน์เซ็นเตอร์ (ซีดีซี)และเมกาบางนา รูปแบบการให้บริการเคโฮมสไมล์คลับคือ ตั้งแต่ก่อนกู้อยากได้แบบบ้านไหน ทำเลไหน สามารถคีย์คำค้นหาจากโลเกชั่นหรือดีเวลอปเปอร์ได้เลย หรือถ้าต้องการค้นหาข้อมูลอัตราดอกเบี้ยสามารถค้นได้จากเว็บไซต์เคโฮมสไมล์คลับดอทคอม ขณะเดียวกันก็มีคอลเซ็นเตอร์ไว้ให้บริการ มีบริการซินแสตอบคำถามเรื่องฮวงจุ้ย ตรงนี้ประสานกับอาจารย์มาศ เคหาสน์ธรรม สมาชิกปัจจุบันมีประมาณ 2 แสนราย คนที่เป็นลูกค้าสินเชื่อบ้านเคแบงก์ก็จะเป็นสมาชิกโดยอัตโนมัติ
นอกจากนี้ ยังมีคีย์ซักเซสอีกอันคือการทำมาร์เก็ตติ้งแคมเปญ "สิ่งที่เคแบงก์เป็นคนเริ่ม เช่น กู้ซื้อบ้านแถมแจ๋ว, สินเชื่อบ้าน 50 ปี ต่างจากรายอื่นที่ได้ลุ้นรถ ลุ้นบ้าน ซึ่งเป็นแคมเปญทั่ว ๆ ไป"
จากกลยุทธ์ที่วางไว้ปรากฏผลชัดเจนจากอัตราลูกค้าเคแบงก์ที่ไปรีไฟแนนซ์กับธนาคารอื่น ๆ ค่อนข้างต่ำ สถิติที่ผ่านมามีลูกค้าเคแบงก์ที่ไปรีไฟแนนซ์กับธนาคารอื่นประมาณ 1% แต่ในทางกลับกันเคแบงก์ได้ลูกค้าจากธนาคารอื่นมารีไฟแนนซ์ประมาณ 3-5%
"แม้สัดส่วนจะดูดีแต่ไม่ใช่สิ่งที่แบงก์เน้น เพราะจะเป็นการสร้างสงครามราคากันมากกว่า"
ประสบการณ์ 10 ปีบนเก้าอี้ผู้บริหารสินเชื่อบ้านเคแบงก์ เขามองว่า สินเชื่อบ้านมีพัฒนาที่ดีขึ้นทั้งในแง่สถาบันการเงินและผู้บริโภค ในฝั่งสถาบันการเงินมีเครื่องมือกลั่นกรองลูกค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น อาทิ การจัดเก็บข้อมูลเครดิตสกอริ่ง ข้อมูลเครดิตบูโร ฯลฯ ส่วนลูกค้าก็มีความรู้มากขึ้น
สำหรับเคแบงก์ไม่หยุดพัฒนาตัวเอง มีนวัตกรรมใหม่ออกมาสม่ำเสมอ ล่าสุดก็เปิดตัวสินเชื่อบ้าน 50 ปี ที่ยังไม่มีแบงก์ไหนเคยทำมาก่อน บางคนอาจจะมองว่าแบงก์เสี่ยงหรือเปล่าที่ขยายระยะเวลาการผ่อนได้นานสูงสุดเป็นเวลา 50 ปี คือจากเดิมให้ผ่อนได้จนถึงอายุ 60 ปี เพิ่มเป็นถึงอายุ 80 ปี แต่ถ้าเข้าใจแล้วจะรู้ว่าจริง ๆ ไม่ได้เสี่ยง !
เพราะเคแบงก์กำหนดเงื่อนไขการผ่อนชำระว่า นับตั้งแต่วันได้รับอนุมัติเงินกู้ไปจนถึงอายุ 60 ปี อย่างน้อยจะต้องผ่อนยอดหนี้ให้ได้ 70% ของทั้งหมด ส่วนอีก 30% จะมีระยะเวลาผ่อนอีก 20 ปี ตั้งแต่อายุ 60-80 ปี
นั่นหมายความว่า ณ วันที่ลูกค้าอายุ 60 ปี จะเหลือยอดหนี้ไม่เกิน 30% แต่วันนั้นราคาทรัพย์สินย่อมมีมูลค่าเพิ่มสูงกว่ายอดหนี้แล้ว ดังนั้นถ้าลูกค้าไม่ผ่อนต่อจนต้องยึดมาขายทอดตลาดแบงก์ก็ไม่ขาดทุนแน่
ประเด็นสินเชื่อบ้าน ยังมีแนวคิดอีกอันที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต คือถ้าลูกค้าผ่อนสินเชื่อบ้านหมดแล้ว ตอนอายุ 60 ปี(เกษียณอายุ) แต่ไม่มีรายได้หลังจากเกษียณอายุ อนาคตอาจให้ลูกค้าสามารถเบิกเงินจากธนาคารจนยอดหนี้กลับมาเป็น 70% เพราะถึงแม้ลูกค้าจะเสียชีวิต แต่ก็มีทรัพย์สินเป็นหลักประกันอยู่ และเชื่อว่าลูกหลานก็ย่อมต้องมาไถ่ถอนคืน เพราะมูลค่าบ้านสูงเกินกว่ายอดหนี้แล้ว เป็นสิ่งที่คิดไว้นาน แต่ยังรอเวลาที่เหมาะสมเพื่อจะ "ปล่อยของ" ที่มั่นใจว่าเป็นหมัดเด็ดในอนาคต
ตั้งคำถามถึงวงจรตลาดสินเชื่อบ้าน "พี่บู๊-ชาติชาย" ให้ความเห็นว่าไซเคิลหรือวงจรดอกเบี้ยเฉลี่ย "3 ปีขึ้น 3 ปีลง" แต่หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจอัตราการสะวิงในแต่ละไซเคิลไม่มากคือไม่เกิน 1%
สำหรับปี"55 ยังถือเป็นไซเคิลดอกเบี้ยขาขึ้น แต่เป็นขาขึ้นในปีที่ 2 ดังนั้นปีหน้าก็น่าจะเป็นดอกเบี้ยขาขึ้นปีที่ 3 หลังจากนั้นวงจรอัตราดอกเบี้ยก็น่าจะเริ่มลดลง
ขณะที่ภาวะการขึ้นลงของดอกเบี้ยเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจ เพราะมีผลต่อการคำนวณความสามารถการผ่อนเงินงวดของลูกค้า เพราะถ้ารายได้เท่ากัน แต่ขอสินเชื่อตอนดอกเบี้ยต่ำ จะมีความสามารถผ่อนต่อเดือนได้เพิ่มขึ้น ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อบ้านง่ายกว่าในช่วงดอกเบี้ยขาลง |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 19-10-2555
|
|
|
|
|