|
Link
to us!!!
|
| ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
|
| ไรมอน แลนด์เดินเครื่องโอนคอนโด ''เดอะริเวอร์'' มิย.นี้ โชว์ยอดรอรับรู้รายได้กว่า 1 หมื่นล้านบาท |
|
มร.อูแบร์ วิริออท กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน)ไรมอน แลนด์ เปิดเผยว่า บริษัทจะเริ่มทำการโอนโครงการเดอะริเวอร์ในเร็วๆ นี้ โดยโครงการเดอะริเวอร์เป็นโครงการในกรุงเทพฯ ของบริษัทฯ ที่มีมูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านบาท และมียอดขายแล้วกว่าร้อยละ 76 สำหรับการก่อสร้างนั้น ปัจจุบันใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว และคาดว่าจะสามารถรับรู้เป็นรายได้จากการโอนในกลางปีนี้ บริษัทฯ คาดว่ารายได้ที่จะรับรู้จากโครงการเดอะริเวอร์และโครงการ 185 ราชดำริ (ปัจจุบันมียอดขายร้อยละ 55) ในช่วงปี 2555 และ 2556 จะส่งผลให้บริษัทฯ สามารถสร้างผลกำไรที่มั่นคงได้ในอนาคต
"บริษัทฯ จะเริ่มโอนโครงการเดอะริเวอร์ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ตัวเลขทางบัญชีหรือผลประกอบการของ บริษัทฯ จะเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาอันสั้น เราวางแผนที่จะโอนโครงการเดอะริเวอร์ประมาณ 7 พันล้านบาทในปีนี้และส่วนที่เหลือในปีหน้า โดยโครงการ 185 ราชดำริ จะเริ่มโอนในปีหน้าเช่นกัน จากความสำเร็จในการเปิดตัวโครงการในพัทยา รวมทั้งแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ ในปีนี้ จะส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2558 เป็นอย่างน้อย
บริษัทฯ มีกลยุทธ์ในการสร้างความหลากหลายของกลุ่มลูกค้าและผลิตภัณฑ์ โดยจากเดิมที่มุ่งเน้นไปทีกลุ่มลูกค้าระดับสูงเท่านั้น ปัจจุบันบริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการที่มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงระดับบน ภายใต้แบรนด์ซายร์ ยูนิกซ์ และล็อฟท์ เพื่อขยายฐานลูกค้าชาวไทยเพิ่มขึ่น และเพิ่มโอกาสในการเติบโตในอนาคต"
ในอนาคต บริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการต่อปี โดยเงินทุนจากการเสนอขายหุ้นเพิ่มแก่บุคคลในวงจำกัด (Private placement) จำนวน 457 ล้านบาท การใช้สิทธิ์ของผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant) ประกอบกับกระแสเงินสดจากการดำเนินงานจะเพียงพอที่จะรองรับทั้งการเปิดตัวโครงการใหม่และการจ่ายเงินปันผลด้วย
"บริษัทฯ มีความมั่นใจว่ากลยุทธ์ของเราจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงให้กับผู้ถือหุ้นทั้งในด้านมูลค่าหุ้นและเงินปันผลได้ในอนาคต"
สำหรับยอดขายและยอด Backlog ของบริษัทฯ ประจำไตรมาส 1 ปี 2555 มีโครงการทั้งหมด 5 โครงการในปัจจุบัน ซึ่งมีมูลค่าขายรวมกว่า 3.52 หมื่นล้านบาท (ประมาณ 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ) แม้ว่าโครงการเหล่านี้จะมียอดขายแล้วกว่า 2.24 หมื่นล้านบาท (กว่า 7 ร้อยล้านเหรียญสหรัฐ) ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 แต่ภายใต้มาตรฐานการบัญชีใหม่ บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้สะสมเพียง 4.1 พันล้านบาท (100 ล้านเหรียญสหรัฐ) เท่านั้น ส่งผลให้บริษัทฯ มียอด Backlog กว่า 1.83 หมื่นล้านบาท (ประมาณ 600 ล้านเหรียญสหรัฐ) ณ ไตรมาสแรกของปี 2555 โดยประมาณร้อยละ 59 ของยอด Backlog ทั้งหมดนี้ มาจาก โครงการเดอะริเวอร์ และกว่า 1 ใน 4 มาจากโครงการ 185 ราชดำริ
บริษัทฯ มีกำหนดการในการเริ่มโอนโครงการเดอะริเวอร์ในปลายเดือนมิถุนายนปีนี้ ซึ่งโครงการเดอะ ริเวอร์มียอดขายแล้วกว่าร้อยละ 76 หรือประมาณ 1.08 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 สำหรับโครงการวิว ซึ่งเป็นโครงการศูนย์การค้าแห่งใหม่ที่มีพื้นที่เช่ากว่า 4,100 ตร.ม. ตั้งอยู่ติดกับโครงการเดอะริเวอร์นั้น ปัจจุบันการก่อสร้างได้เสร็จสมบูรณ์และมีผู้เช่าแล้วกว่าร้อยละ 60 ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการตกแต่งภายในร้านค้า
สำหรับความคืบหน้าโครงการ 185 ราชดำริ ซึ่งเป็นโครงการคอนโดระดับพรีเมี่ยมของบริษัทฯ โดยมีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 250,000 ต่อ ตร.ม. ได้มียอดขายแล้วกว่าร้อยละ 55 ในไตรมาสที่ผ่านมา และคาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จและสามารถโอนได้ในปลายปีหน้า โดยขณะนี้ งานตอกเสาเข็มได้เสร็จสมบูรณ์แล้วและปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงงานสร้างหลักหรือ Superstructure
สำหรับโครงการในพัทยา ซึ่งได้แก่โครงการซายร์ วงศ์อมาตย์ บริษัทฯ สามารถปิดการขายอาคารแรกของโครงการได้เรียบร้อยแล้ว โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม โครงการนอร์ทพ้อยท์ โครงการซายร์ วงศ์อมาตย์ และโครงการยูนิกซ์ เซาท์พัทยามียอดขายแล้วกว่าร้อยละ 88 ร้อยละ 66 และร้อยละ 24 ตามลำดับ ซึ่งโครงการซายร์ วงศ์อมาตย์และโครงการยูนิกซ์ เซาท์พัทยา ที่ทำการเปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว จะแล้วเสร็จและสามารถโอนได้ในปี 2557
ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2555 ได้รับผลกระทบจากมาตราฐานการบัญชีใหม่ โดยบริษัทฯ จะรับรู้รายได้ก็ต่อเมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดหรือเมื่อมีการโอนความเสี่ยงและผลตอบแทนที่มีนัยสำคัญให้กับผู้ซื้อแล้วเท่านั้น แม้ว่าบริษัทฯ จะได้รับชำระเงินค่างวดจากลูกค้าแล้วก็ตาม โดยไตรมาสแรกนี้ แม้ว่าบริษัทฯ จะมียอดขายหรือยอด PRE-SALE กว่า 1 พันล้านบาท แต่บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้เพียงแค่ 194 ล้านบาท เนื่องจากมาตราฐานบัญชีใหม่ ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องรายงานผลขาดทุนสุทธิจำนวน 70 ล้านบาท
บริษัทฯ มีหนี้สินที่มีดอกเบี้ยสุทธิ (′Net Debt′) ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 อยู่ที่ประมาณ 6.3 พันล้านบาทหรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 53 ของมูลค่าตลาดรวมของบริษัทฯ1 (Company′s market Enterprise Value) ซึ่งลดลงจากร้อยละ 61 เมื่อปี 2554 นอกจากนี้ การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่บุคคลในวงจำกัด (Private placement) มูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สิ้นต่อทุน (Gearing) ลดลงและเพิ่มศักยภาพให้บริษัทฯ ในการซื้อที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ ในอนาคตอันใกล้ บริษัทฯ คาดว่าการใช้สิทธิ์ของผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant) จำนวน 894 ล้านหน่วย จะส่งผลให้บริษัทฯ มีเงินทุนเพิ่มขึ้นกว่า 2.5 พันล้านบาทเพื่อรองรับการเติบในระยะกลางถึงระยะยาวในอนาคตอีกด้วย |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 25-05-2555
|
|
|
|
|
