Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
จับทิศทาง "ออกแบบ-เลือกซื้อบ้าน" จุดเปลี่ยนธุรกิจอสังหาฯหลังอุทกภัย |
|
หลังน้ำท่วมใหญ่ปลายปีมีคำถาม เกิดขึ้นมากมายกับตลาดที่อยู่อาศัย
หนึ่งในนั้นคือ...แนวโน้มพฤติกรรมของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยจะเปลี่ยนไปแค่ไหน ทิศทางการออกแบบบ้านหลังน้ำลดจะเป็นอย่างไร ในการสัมมนาใหญ่ของ 3 สมาคมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร สมาคมอาคารชุดไทย และสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้หยิบเรื่องนี้เป็นประเด็นในการไขรายละเอียดผ่านมุมมอง 2 กูรูในแวดวงสถาปนิกและนักวิชาการด้านอสังหาฯ พ่วงด้วยเคล็ดลับจัดตั้งนิติบุคคลบ้านจัดสรรและอาคารชุดให้สำเร็จ
เศรษฐซื้อบ้านหลังที่ 2 ตจว.
"รศ.วิทวัส รุ่งเรืองผล" อาจารย์ประจำโครงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่ามี 4 ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในปีนี้คือ 1) ประสบการณ์ตรงและการรับข่าวสารในช่วงน้ำท่วม 2) ซัพพลาย-ดีมานด์แต่ละทำเล 3) การปล่อยกู้ของสถาบันการเงินและการทำประกันภัย และ 4) นโยบายภาครัฐที่สร้างการเปลี่ยนแปลงและการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชน
เมื่อจับพฤติกรรมการซื้อที่อยู่อาศัย พบว่ามีแนวโน้มผู้ซื้อบ้านจะเลือกทำเลที่น้ำไม่ท่วม หรือท่วมน้อยเป็นลำดับแรก ๆ
แต่เมื่อแบ่งผู้ซื้อบ้านเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่ม "เศรษฐีมีเงิน" พบว่าหลังเกิดน้ำท่วมต้องการซื้อบ้านหลังที่ 2 ในต่างจังหวัดหรือพื้นที่น้ำไม่ท่วมเป็นบ้านพักสำรอง ทำให้เกิดเทรนด์ความต้องการที่อยู่อาศัยในเมืองใหญ่ต่างจังหวัด คอนโดมิเนียมในเมือง
ขณะที่ "ชนชั้นกลาง" จะไม่มีทางเลือกมากนัก จึงไม่ย้ายถิ่นฐานหรือซื้อบ้านใหม่ก็เลือกทำเลที่น้ำท่วมน้อย หรือมีระบบป้องกันที่ดีและใช้วิธีเรียนรู้-ปรับตัวเมื่อเกิดเหตุน้ำท่วม
เทรนด์ออกแบบ-ชั้นล่างเน้นโล่ง
ด้านทิศทางการออกแบบที่อยู่อาศัยและตกแต่งภายใน "ทวีจิตร จันทรสาขา" นายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ วิเคราะห์ว่า เทรนด์การออกแบบบ้านหลังน้ำท่วม หากเป็นบ้านที่ปลูกสร้างในพื้นที่ฟลัดเวย์ (ทางน้ำผ่าน) จะปรับมาเป็นแบบบ้านใต้ถุนสูง โดยเฉพาะบ้านที่เจ้าของว่าจ้างผู้รับเหมาปลูกสร้าง ส่วนทำเลอื่น ๆ จะปรับเปลี่ยนวัสดุตกแต่งภายในให้ทนน้ำได้ดีมากกว่าจะปรับแบบบ้าน
ส่วนฟังก์ชั่นใช้สอยภายในบ้านชั้นล่างมีแนวโน้มเปลี่ยนเป็นพื้นที่โล่งมากขึ้นแทนที่จะออกแบบเป็นห้องต่าง ๆ ขณะเดียวกันห้องต่าง ๆ จะถูกออกแบบไว้ชั้นบน
ส่วนการออกแบบบ้านลอยน้ำเชื่อว่าจะไม่เกิดขึ้นเพราะกรุงเทพฯไม่ได้มีน้ำท่วม และไม่สอดรับกับการอยู่อาศัยจริง
ขณะที่เทรนด์การตกแต่งภายใน อย่างวัสดุปูพื้นจะเปลี่ยนจากไม้ธรรมชาติเป็นกระเบื้องรุ่นที่น้ำซึมผ่านได้ยาก, เฟอร์นิเจอร์จะเป็นเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวและชิ้นเล็กเคลื่อนย้ายสะดวกหรือถอดประกอบได้ รวมทั้งจะออกแบบถังบำบัดของเสียห้องน้ำชั้นบนแยกจากชั้นล่าง และตั้งไว้บนดินหากน้ำท่วมก็สามารถใช้งานเฉพาะห้องน้ำชั้นบนได้
แจงขั้นตอนตั้งนิติฯบ้านจัดสรร
ปิดท้ายที่ "พิสิฐ ชูประสิทธิ์" นายกสมาคมนักบริหารอาคารชุดและหมู่บ้านจัดสรร ที่เผยสถิติจากกรมที่ดินนับตั้งแต่มีหมู่บ้านจัดสรรในเมืองไทยได้ประมาณ 50 ปี มีหมู่บ้านจดทะเบียนนิติบุคคลบ้านจัดสรรไปแล้ว 470 แห่งเท่านั้น ถือว่าน้อยมาก
ประเด็นมี 2 ส่วนคือ 1) อยากตั้งนิติฯแต่ไม่สำเร็จ และ 2) เลี่ยงการจัดตั้ง ซึ่งกรณีอยากตั้งนิติฯแต่ไม่สำเร็จ อาจเกิดจาก 1) ผู้อยู่อาศัยไม่ต้องการเพราะไม่อยากรับภาระส่วนกลางทุกเดือน 2) ต้องใช้เสียงรับรองจากผู้ซื้อกึ่งหนึ่งหรือ 50% ของจำนวนยูนิตตามผังโครงการ
ซึ่งการจะตั้งได้หมู่บ้านจัดสรรนั้น ๆ จะต้องมียูนิตขายไปได้แล้วอย่างน้อย 50% หรือกึ่งหนึ่ง ของจำนวนยูนิตตามผังโครงการและการก่อสร้างสาธารณูปโภคในโครงการจะต้องแล้วเสร็จ มีใบอนุญาตจัดสรรที่ดิน เจ้าของโครงการซึ่งก็คือผู้จัดสรรที่ดินต้องยินยอมพ้นจากหน้าที่การดูแลสาธารณูปโภค และแจ้งให้ผู้ซื้อทราบล่วงหน้าเพื่อเตรียมตัวตั้งไม่น้อยกว่า 180 วันและได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการจัดสรรที่ดินจังหวัดให้จัดตั้งนิติฯ
ในส่วนของอาคารชุดหรือคอนโดฯจะง่ายกว่า เพราะทันทีที่ทรัพย์ส่วนกลางในโครงการ (พื้นที่ส่วนกลางทั้งหมด) สร้างเสร็จและเริ่มโอนห้องชุดห้องแรกให้ผู้ซื้อก็สามารถตั้งนิติฯได้ทันที ส่วนใหญ่จึงตั้งนิติฯได้สำเร็จ |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 20-03-2555
|
|
|
|
|