Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
ฟื้นฟูความเชื่อมั่นประเทศไทย SCG ลงทุน 5 ปี 1.5 แสนล้าน สู่เป้าหมาย "เบอร์ 1 กระเบื้องโลก" |
|
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ "กานต์ ตระกูลฮุน" กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (เอสซีจี) องค์กรยักษ์ใหญ่ในธุรกิจซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง ปิโตรเคมี และกระดาษ ได้รับเชิญขึ้นแสดงวิสัยทัศน์และมุมมองเศรษฐกิจบนเวที 2011 ASEAN BUSINESS & INVESTMENT SUMMIT ซึ่งปีนี้จัดขึ้นที่ Bali International Convention Center ประเทศอินโดนีเซีย
แต่ความแตกต่างจากปีก่อน ๆ คือ ครั้งนี้เป็นการขึ้นเวทีในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตน้ำท่วมครั้งประวัติศาสตร์ ในฐานะผู้นำองค์กรเอสซีจีที่ขยายการลงทุนทั้งในประเทศและอาเซียนอย่างต่อเนื่อง บนเวทีธุรกิจอาเซียนเมื่อ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซีอีโอเอสซีจีจึงให้น้ำหนักการฉายภาพส่วนหนึ่งไปที่การให้ความมั่นใจว่า ประเทศไทยยังมีศักยภาพน่าลงทุน
โดยมองว่า วิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ถึงจะส่งผลกับเศรษฐกิจแรงแต่ก็เป็นระยะสั้น คาดการณ์ว่าจะทำให้อัตราจีดีพีปีนี้มีอัตราเติบโตลดลงเหลือ 2% แต่ในระยะยาว 3-5 ปีนับจากนี้เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสจะขยายตัวต่อเนื่อง
ปัจจัยหลักมาจากการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์รถไฟฟ้าที่เกิดขึ้นหลายสาย ทั้งสายสีม่วง สีแดง และสีน้ำเงิน ถือว่าเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วง 10 ปีย้อนหลังที่มีสนามบินสุวรรณภูมิและรถไฟฟ้าบีทีเอสและใต้ดินรวม 2 สาย
ดังนั้น คีย์สำคัญคือการสร้าง "ความเชื่อมั่น" ให้กับนักลงทุน เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังดี โดยรัฐบาลควรจะต้องกำหนดนโยบายการลงทุนระบบป้องกันน้ำท่วมถาวรเพื่อเรียกความมั่นใจ ซึ่งที่ผ่านมาเอสซีจีได้เดินสายพบปะพาร์ตเนอร์เพื่อทำความเข้าใจ โดยเฉพาะพาร์ตเนอร์ต่างชาติที่ยังมีความเชื่อมั่นเรื่องการลงทุน และล่าสุดคืองาน ASEAN BUSINESS SUMMIT
ไม่กระทบแผนลงทุน 1.5 แสน ล.
สิ่งที่ยืนยันว่าเอสซีจียังคงเชื่อมั่นในเศรษฐกิจระยะยาว คือ การประกาศเดินหน้าแผนการลงทุน 5 ปี นับจากปี 2555-2559 คาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 1.5 แสนล้านบาท
เฉพาะปี"55 หากการเจรจาเป็นไปตามเป้าหมายน่าจะเห็นเอสซีจีใช้เงินลงทุน 3-4 หมื่นล้านบาท โดยยังคงให้น้ำหนักการลงทุนทั้งในประเทศและอาเซียน แต่รูปแบบการลงทุน 75-80% จะให้น้ำหนักไปที่การควบรวมกิจการ ส่วนอีก 25-30% จะเป็นการลงทุนก่อสร้าง หรือขยายโรงงานใหม่ เพื่อให้สามารถเดินเครื่องจักรผลิตสินค้าได้เร็วขึ้น
สำหรับปีนี้ เฉพาะกลุ่มธุรกิจเอสซีจีผลิตภัณฑ์ก่อสร้างได้เข้าซื้อกิจการในประเทศอินโดนีเซีย ได้แก่ โรงงานผลิตกระเบื้องเซรามิก PT Keramika Indonesia Assosasi (KIA) และ KohKoh Inti Arebama (KohKoh ผู้ดำเนินธุรกิจศูนย์ค้าวัสดุ ในประเทศอินโดนีเซียที่มีเครือข่ายร้านจำหน่ายวัสดุอยู่ถึงประมาณ 10,000 แห่ง) และธุรกิจปิโตรเคมีที่เข้าถือหุ้น 30% ในบริษัท CHANDRA ASRI รวมถึงมีกิจการที่อยู่ระหว่างการเจรจาอีกหลายราย
หนึ่งในนั้นคือกิจการในธุรกิจ "ซีเมนต์" ในอินโดฯ ที่เอสซีจีสนใจและคาดหวังจะให้จบดีลภายในปีนี้ เพราะเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่องในช่วงหลัง อย่างปีนี้คาดว่าจีดีพีจะเติบโตประมาณ 6% มีประชากรมากถึง 240 ล้านคน
เพิ่มมูลค่าทรัพย์สินในอาเซียน 20%
จากการขยายการลงทุนในต่างประเทศทำให้ปัจจุบันเอสซีจีมีมูลค่าทรัพย์สินที่ลงทุนในอาเซียนคิดเป็นสัดส่วน 12% ของทั้งหมด คาดว่าภายใน 5 ปีหน้าจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 20%
สัดส่วนการลงทุนในอาเซียนที่เพิ่มขึ้นเป็นไปตามวิชั่นองค์กรที่ต้องการเป็นผู้นำตลาดอาเซียนภายในปี 2015 (2558) เพราะ "กานต์" เชื่อว่าต่อไปอาเซียนก็คือ "เซ็นเตอร์" ของเอเชีย
โดยปัจจุบันเอสซีจีมีการลงทุนในอาเซียนทั้งในอินโดฯ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา ซึ่งนิยาม "ผู้นำตลาดอาเซียน" ก็คือต้องเป็นแบรนด์ที่คนในประเทศนั้นรู้จักดี มียอดขายติดกลุ่มผู้นำในแต่ละประเทศ
บทสรุปเมื่อถึงปี 2015 เอสซีจีประเมินว่าจะมียอดขายไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาทอย่างแน่นอน จากช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ที่มียอดขายแล้วกว่า 2.8 แสนล้านบาท
ลุ้นเบอร์หนึ่งกระเบื้องเซรามิกโลก
แต่ที่นำหน้าไปแล้วคือ สินค้ากระเบื้องเซรามิกในกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ภายหลังจากเทกโอเวอร์โรงงานกระเบื้องในอินโดฯ ถึงสิ้นปีนี้ เอสซีจีเชื่อว่ามีโอกาสที่จะขยับขึ้นเป็นอันดับที่หนึ่งของโลกในแง่ยอดขายได้ จากปัจจุบันที่เป็นอันดับ 2
โดยช่วง 9 เดือนแรกเอสซีจีมียอดขายจากสินค้ากระเบื้องเซรามิก 50% จากยอดขายรวมกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง หรือประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท มีกำลังผลิตรวมทั้งหมดประมาณ 140 ล้านตารางเมตร/ปี
นอกจากการขยายการลงทุนโรงงานในอาเซียน การเข้าควบรวมกิจการกับ KohKoh ในอินโดฯยังเป็นจิ๊กซอว์ต่อยอดเรื่องศูนย์จำหน่ายวัสดุเพื่อเป็นช่องทางระบายสินค้า โดยเอสซีจีอยู่ระหว่างพิจารณาเลือกร้านค้าวัสดุในเครือข่ายที่อินโดฯมาพัฒนาเป็นร้านต้นแบบภายใต้แบรนด์ "โฮมมาร์ท" ส่วนรูปแบบร้านยังอยู่ระหว่างการพัฒนาเพราะจะมีความแตกต่างจากในประเทศ
รวมถึง "นวพลาสติกอุตสาหกรรม" บริษัทในเครือที่ผลิตสินค้าประตู-หน้าต่างยูพีวีซี (ไวนิล) ก็มีแผนเตรียมรุกส่งออกสินค้าสู่ตลาดอินโดนีเซียในปีหน้า หลังจากได้ติดตั้งเครื่องจักรขยายกำลังผลิตแล้วเสร็จ มีกำลังผลิตเพิ่มขึ้นจากปีละเกือบ 1 พันตัน เป็นปีละ 5 พันตัน และสามารถผลิตสินค้าได้หลากหลายสี อาทิ สีดำ, สีโอ๊กเข้ม ฯลฯ จากเดิมที่มีเฉพาะสีขาวเท่านั้น
ทั้งหมดนี้คือวิสัยทัศน์เรื่องความเชื่อมั่นของเอสซีจี ที่สะท้อนผ่านการลงทุนของเอสซีจีในอาเซียน |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 24-11-2554
|
|
|
|
|