Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
วรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ ชูธง "เบเยอร์" รุกตลาดสี "อีโคสมาร์ต" |
|
5 ปีที่แล้วนับจาก "เบเยอร์" เปิดตัวสีทาอาคารสะท้อนความร้อน "เบเยอร์ คูล" เป็นรายแรก และประกาศบุกหนักสีทาอาคารก็ทำให้ค่ายนี้ถูกจับตามากขึ้นทันที ปัจจุบันเบเยอร์มีสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์สีทาอาคารแซงหน้าสีงานไม้ไปแล้ว
แล้วอะไรที่ให้เบเยอร์มาถึงจุดนี้ "ประชาชาติธุรกิจ" มีนัดสัมภาษณ์พิเศษ "วรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ" รองกรรมการผู้จัดการ วัย 36 ปี บริษัท เบเยอร์ จำกัด ถึงแนวคิดการรุกตลาดสี ที่เรียกว่า "อีโคสมาร์ต" ทีมงานบุกเยือนถึงถิ่นโรงงานผลิตสีในย่านพระประแดง
"เบเยอร์ คูล" ประสบการณ์ความสำเร็จ
"ผม เพิ่งมีโอกาสกลับจากพาสถาปนิกประมาณ 90 คนไปดูงานเซี่ยงไฮ้เวิลด์ เอ็กซ์โป เห็นเลยว่าทุกประเทศพยายามสื่อเรื่องอีโคโลจี้ลดโลกร้อนผ่านเทคโนโลยีที่ เป็นของตัวเอง ซึ่งตรงกับแนวทางของเบเยอร์ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา" รองเอ็มดีหนุ่มค่ายสีเบเยอร์เปิดประเด็น
ย้อนหลังกลับไป 4-5 ปีก่อนที่เริ่มเปิดตัวสีสะท้อนความร้อน "เบเยอร์ คูล" ใหม่ ๆ ช่วงนั้นยังมีคนที่พูดถึงเรื่องการลดโลกร้อน ประหยัดพลังงานอยู่น้อยมาก
อย่างไรก็ตาม ถึงวันนี้ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่าการทาสีไม่ใช่เรื่องความสวยงามอย่างเดียว แต่มีประโยชน์มากกว่านั้น
ลึก ๆ บริษัทจึงค่อนข้างภูมิใจที่มีส่วนช่วยผลักดันเรื่องการประหยัดพลังงานโดย พัฒนาเฉดสีอื่น ๆ เช่น เขียว แดง น้ำเงิน ฯลฯ ให้มีคุณสมบัติสะท้อนความร้อนได้สูงกว่าสีทั่วไปเฉลี่ย 20%
"วรวัฒ น์" เชื่อว่าการเลือกใช้สีที่มีส่วนช่วยประหยัดพลังงาน เป็นตลาดที่มีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก และไม่ได้หยุดแค่เรื่องการประหยัดพลังงาน แต่ยังรวมถึงการเป็นผลิตภัณฑ์สีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือ "กรีนโปรดักต์"
เพราะปัจจุบันองค์กรวิชาชีพ คือ สมาคมสถาปนิกสยามฯ และสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ อยู่ระหว่างการจัดทำมาตรฐาน "อาคารเขียว" (อาคารอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม)
แม้โดยหลักเกณฑ์อาจไม่เข้ม ข้นเท่ากับหลักเกณฑ์ของอเมริกาอย่างมาตรฐาน LEED เพราะเท่าที่ทราบหลักเกณฑ์บางอย่าง เช่น "ค่ามาตรฐานการสะท้อนความร้อน" ในเฉดสีทาอาคารต่าง ๆ ที่ไม่ได้ถูกกำหนดไว้ แต่การมีหลักเกณฑ์อาคารเขียวก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมาก ๆ เนื่องจากต่อไปการออกแบบอาคารจะมองแค่สวยงามอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องประหยัดพลังงานด้วย
ปัญหาหลักเกิดกับเมืองหลวงหลายแห่งใน ขณะนี้ คือ ปรากฏการณ์ "เออร์เบิน ฮีต ไอซ์แลนด์" (ปรากฏการณ์เกาะความร้อน) หมายถึงผนังอาคารได้อมความร้อนเอาไว้ ผลที่ตามมาคือเครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนักมากขึ้น เมื่อถึงช่วงเย็นผนังก็คายความร้อนออกมาอีก ทำให้การเปิดแอร์ตอนกลางคืนต้องทำงานหนัก เมืองทั้งเมืองเสมือนมีความร้อนห่อหุ้มไว้
สีเกรดสูง ราคาจับต้องได้
เบเยอร์จึงพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อช่วงต้นปีนี้คือ "สีเบเยอร์ คูล ยูวี ชิลด์" เป็นสีเกรดสูงซึ่งเป็นการคอมไบน์ของประสิทธิภาพการสะท้อนความร้อนและความทน ทาน จากช่วงแรกที่เปิดตัวเป็นสีในเซ็กเมนต์ระดับกลาง ซึ่งเกิดจากเทคโนโลยี "ไมโคร สเปียร์ เซรามิก" ผนวกเข้ากับสารคลอโรฟีลล์ที่สกัดได้จากพืชมาเป็นส่วนผสมวัตถุดิบ และมีการทดสอบผลิตภัณฑ์อย่างจริงจังก่อนวางตลาด
"เราร่วมกับ มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เข้าไปศึกษาบ้านจริง ๆ และทำวิจัยร่วมกับ บมจ.แสนสิริ เพื่อเปรียบเทียบกับบ้านที่ทาสีทั่วไป สีเบเยอร์ คูลเฉดเดียวกันในบ้านคนละหลัง ปรากฏว่าหลังการเปิดแอร์ไปนาน 8 วันลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้กว่า 10%"
การเริ่มต้นเปิดตัวสีประหยัด พลังงานจาก "เบเยอร์ คูล" ตามมาด้วย "เบเยอร์ คูล ยูวี ชิลด์" ที่พัฒนาจากสีเกรดกลางเป็นสีเกรดสูง เป็นเพราะต้องการให้คนส่วนใหญ่เข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้ง่าย คือมีราคาขายขนาดถังละ 5 แกลลอน (ถังใหญ่สุด) ประมาณ 1,600-1,700 บาท
"นวัต กรรมเป็นสิ่งที่ใครก็อาจทำได้ แต่ต้องอยู่ในราคาเหมาะสมและเป็นประโยชน์จริง ๆ ไม่งั้นจะกลายเป็นของที่ตั้งอยู่บนเชลฟ์เท่านั้นเอง"
พัฒนาโปรดักต์สู่ "อีโคสมาร์ต"
จาก จุดเริ่มต้นการเปิดตัวสีประหยัดพลังงาน ปัจจุบันบริษัทได้วางแนวทางพัฒนาผลิตภัณฑ์ไปสู่แนวคิดกรีนโปรดักต์ ตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงตัวผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ใช้ชื่อเรียกว่า "อีโคสมาร์ต" ปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 40% ของพอร์ตสีทาอาคารและสีงานไม้ทุกรุ่น
ดังนั้น กล้าพูดได้ว่าเบเยอร์เป็นรายแรกที่รณรงค์การใช้สีน้ำมันที่มีส่วนผสม ทินเนอร์แบบไร้กลิ่น เมื่อ 2 ปีก่อนก็ได้เปิดตัวสีงานไม้สูตรน้ำทุกรุ่นออกสู่ตลาด โดยจับมือกับไบเออร์ (เยอรนี) ร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์จนได้มาตรฐาน "อะควา อียู" เทียบเท่าในยุโรป รวมถึงในผลิตภัณฑ์สีงานไม้สำหรับของเล่นเด็กก็ได้รับมาตรฐานจาก ต่างประเทศ (มาตรฐาน EN-71)
การพัฒนาผลิตภัณฑ์สม่ำเสมอเกิดจาก เรื่อง "อินโนเวชั่น" เป็น "คอร์" (หลัก) การทำธุรกิจ และต้องเป็นแพรกทิคอล อินโนเวชั่น (นวัตกรรมที่ผู้บริโภคนำไปใช้ได้จริง) นี่คือหัวใจที่เบเยอร์ทำมาตลอด 49 ปี
และจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์หลอม รวมเข้ากับการใช้สื่อโฆษณาทางทีวี ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านซัพพลายเชนตั้งแต่ลูกค้าที่เป็นผู้บริโภค ช่าง จนถึงร้านค้า
เป้าหมายที่ 1 "ในใจผู้บริโภค"
"เดี๋ยว นี้ผู้บริโภครู้เยอะ พอเห็นโฆษณาก็ไปบอกช่างหรือผู้รับเหมาว่า เอาสีแบบนี้ ต่างจากสมัยก่อนที่ให้ช่างเหมาค่าสีไปเลย ช่างก็ยึดติดกับสีที่ทาได้พื้นที่มาก ๆ เท่านั้น ดังนั้นทั้งช่างและร้านก็ต้องเรียนรู้ด้วย เพื่อจะได้อธิบายได้อย่างถูกต้อง"
จากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทำให้บริษัทค่อนข้างภูมิใจและประเมินว่าเบเยอร์น่าจะเป็น "นัมเบอร์ 1" ในผลิตภัณฑ์กลุ่มสีสะท้อนความร้อน โดยตลอด 3 ปีที่ผ่านมา สีกลุ่มนี้มีอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละกว่า 10%
"มีลูกค้าหลายคนส่ง จดหมายมาหาเราบอกว่า พอทาสีเบเยอร์แล้วก็รู้สึกบ้านเย็นขึ้น อยู่แล้วไม่หงุดหงิดเหมือนเดิม สิ่งเหล่านี้เป็นกำลังใจที่ถูกส่งต่อไปให้พนักงานรับรู้ด้วย"
ผลที่ตามมาคือ ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้สีทาอาคาร 60% ของรายได้รวม แซงหน้าผลิตภัณฑ์กลุ่มสีงานไม้ที่มีสัดส่วน 40%
ส่วน คำถามที่ว่ารู้สึกอย่างไร เบเยอร์เป็นแบรนด์ที่กำลังถูกผู้นำตลาดสีทาอาคารจับตามอง...อาจจะเป็นคำถาม ที่ไม่ทันตั้งตัว ทำให้ "วรวัฒน์" นิ่งคิดก่อนตอบว่า...เรื่องอันดับในอุตสาหกรรมนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
แต่ "อันดับหนึ่งในใจผู้บริโภค" คือ สิ่งสำคัญที่พนักงานเบเยอร์ต้องไปให้ถึงเป้าหมาย
นั่นคือ ทำให้ลูกค้านึกถึงสีแล้วนึกถึงเบเยอร์...เท่านั้นก็ (เพียง) พอ
|
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 06-09-2553
|
|
|
|
|