|
Link
to us!!!
|
| ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
|
| 96 ปี "ปูนซิเมนต์ไทย" โตแบบมั่นคง สู่เป้าหมายผู้นำอาเซียน |
|
ปี 2553 ปูนซิเมนต์ไทย (เอสซีจี) บริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการวัสดุก่อสร้างและปูนซิเมนต์ไทย อยู่ระหว่างการฉลองครบ 8 รอบ หรือ 96 ปี และถือเป็นช่วงเวลาเริ่มต้นการนับถอยหลังการ ย่าง เข้าสู่ปีที่ 100 ในปี 2556
"ถ้านับเฉพาะการลงทุนในบริษัทที่ เอสซีจีเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เกินกว่า 50% ปัจจุบันเรามีแอสเสตทรัพย์สินที่อยู่ในอาเซียน คิดเป็นมูลค่า 23,000 ล้านบาท ปีที่ผ่านมาสามารถสร้างยอดขายที่มาจากโรงงานที่ตั้งอยู่ในอาเซียน (ไม่รวมการส่งออก) คิดเป็นสัดส่วน 7-8% หรือประมาณ 19,000 ล้านบาท จากรายได้รวมทั้งปี" กานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ "เอสซีจี" ให้ข้อมูล
เปิดโพย 4 โปรดักต์ธง
มองข้ามชอต สิ่งสำคัญนอกเหนือจากการเป็นองค์กรเก่าแก่ที่มีอายุย่างเข้าใกล้ 100 ปี จะพบว่า "เอสซีจี" มีเป้าหมายใหญ่รออยู่
นั่นคือการก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดในภูมิภาคอาเซียน 10 ประเทศอย่างยั่งยืน โดยในช่วงที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการก่อสร้างอย่างกลุ่ม "ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง" และ "ปูนซีเมนต์" ได้นำร่องขยายการลงทุนโรงงานและช่องทางจำหน่ายเข้าไปในประเทศต่าง ๆ บ้างแล้ว
สำหรับในกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้างซึ่งสร้างยอดขายให้กับเอสซีจีในปีที่ผ่านมา 26,873 ล้านบาทนั้น
โปรดักต์ธง 4 กลุ่มคือ "กระเบื้องหลังคา-สุขภัณฑ์-ก๊อกน้ำ-กระเบื้องเซรามิก" คิดเป็นพอร์ตรายได้หลักรวมกันเกือบ 20,000 ล้านบาท ที่เอสซีจีได้ขยายตลาดเข้าไปในอาเซียน
โดยในกลุ่มกระเบื้องหลังคา "กระเบื้องหลังคาซีแพค" ในปีที่ผ่านมามียอดขาย 2,800 ล้านบาท วางเป้าเติบโตในปีนี้อีก 10% เศษ ถือเป็นบริษัทในเครือที่มีการลงทุนตั้งโรงงานในอาเซียนแล้ว 4 ประเทศ
ได้แก่ ประเทศกัมพูชา เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และลาว มีกำลังผลิตรวมประมาณ 7 ล้านตารางเมตร หรือเฉลี่ยโรงงานละ 1.8 ล้านตารางเมตร
นอกจากนี้ก็ยังให้ความสนใจเข้าไปลงทุนในประเทศพม่า แต่จะขอรอดูความชัดเจนเรื่องการเมืองภายใน และเมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม หากว่าในอนาคตมีความต้องการใช้กระเบื้องหลังคามากขึ้น
"ถ้าเป็นประเทศฟิลิปปินส์ ลาว และกัมพูชา ถือว่าเราเป็นผู้นำตลาดในทุกประเทศแล้ว ส่วนเวียดนามปัจจุบันเรายังไม่เป็นผู้นำตลาดอย่างถาวร คือขึ้น ๆ ลง ๆ ระหว่างอันดับ 1 และ 2 เนื่องจากมีผู้ผลิตในท้องถิ่นหลายราย" นพดล แก้วทับทิม กรรมการผู้จัดการ "กระเบื้องหลังคาซีแพค" ระบุ
ผุดคอตโต้ สตูดิโอ "เวียดนาม-กัมพูชา"
อีกบริษัทคือ "กระเบื้องกระดาษไทย" ซึ่งมีสินค้าหลัก 2 กลุ่ม คือ 1) กระเบื้องหลังคาไฟเบอร์ซีเมนต์ และ 2) ไม้สังเคราะห์และแผ่นบอร์ด มียอดขายในปีที่ผ่านมา 6,500 ล้านบาท
แยกเป็นสัดส่วนผลิตภัณฑ์กลุ่มหลังคา 55% และกลุ่มไม้สังเคราะห์-แผ่นบอร์ดอีก 45% ปัจจุบันยังไม่มีโรงงานในต่างประเทศ
แต่ใช้วิธีการส่งออกสินค้าไปยังประเทศลาวและเวียดนาม คิดเป็นสัดส่วน 5% จากยอดขายรวม หรือประมาณ 325 ล้านบาท และในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ ตลาดส่งออกมีอัตราเติบโตจากปีก่อน 20%
เป้าหมายที่ท้าทายนับจากปี 2553-2558 กระเบื้องกระดาษไทยต้องการมียอดส่งออกเติบโตเฉลี่ยปีละ 15-20% หรือเท่ากับจะมียอดส่งออกเพิ่มอีกเท่าตัวจาก 325 ล้านบาท เป็นมากกว่า 600 ล้านบาท ภายในปี 2558
เช่นเดียวกับสุขภัณฑ์-ก๊อกน้ำแบรนด์ "คอตโต้" ภายใต้การดำเนินงานโดยบริษัท "สยามซานิทารีแวร์ อินดัสทรี" ปีที่ผ่านมามียอดขายประมาณ 4,200 ล้านบาท แม้ปัจจุบันยังไม่มีการก่อตั้งโรงงานในแถบอาเซียน
แต่ช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา "สราวุฒิ สำราญทรัพย์" เอ็มดีของบริษัท พร้อมด้วยทีมงาน ก็ได้ใช้วาระครบรอบ 25 ปีของการก่อตั้ง ประกาศวิชั่นก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดอาเซียน โดยประมาณการ ในอีก 5 ปีข้างหน้าจะต้องมียอดขายแตะ 10,000 ล้านบาท
ในจำนวนนี้ 40% จะมาจากตลาดในอาเซียน ที่เป็นการส่งสินค้าภายใต้แบรนด์ "คอตโต้" กลยุทธ์จะมาจาก 2 ส่วน คือ 1) การวางระบบเครือข่ายจัดจำหน่าย และ 2) การสร้างแบรนด์คอตโต้ในอาเซียน ประมาณการว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมี ยอดขายเพิ่มขึ้น
ล่าสุดในเดือนกรกฎาคมนี้ สยามซานิทารีแวร์ อินดัสทรี จะเปิดตัว "คอตโต้ สตูดิโอ" จุดให้บริการเกี่ยวกับห้องน้ำครบวงจรที่เมืองหลวงฮานอยของเวียดนาม ซึ่งนับเป็นแห่งแรกในต่างประเทศเพื่อรองรับการสร้างเครือข่ายจัดจำหน่าย และเตรียมทยอยเปิดตัวเพิ่มอีก 3 แห่งในปีนี้ ได้แก่ เมืองโฮจิมินห์ เวียดนาม เมืองพนมเปญและเสียมเรียบ กัมพูชา ส่วนการสร้างแบรนด์ได้วางงบประมาณส่วนนี้ 8-10% จากยอดขาย เพื่อสร้างแบรนด์คอตโต้ให้เป็นที่รู้จักในอาเซียน
มุ่งเป้าฐานผลิตอาเซียนมีสัดส่วนรายได้ 25%
ส่วนในกลุ่มธุรกิจซีเมนต์ ปัจจุบันเอสซีจีเข้าไปลงทุนโรงงานผลิตในประเทศกัมพูชา และอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อควบรวมกิจการโรงงานผลิตซีเมนต์ในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่ง "กานต์" ซีอีโอเอสซีจี ระบุว่า...น่าจะได้ข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้
ในภาพรวมของเครือเอสซีจี "กานต์" บอกด้วยว่า หากมองในแง่กำลังผลิตรวมโรงงานที่มีอยู่ทั้งในประเทศและอาเซียน ถือว่าธุรกิจ "กระดาษ" เอสซีจีได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดแล้ว
ส่วนธุรกิจ "ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง" หากนับรวมกำลังผลิตสินค้าทุกตัวถือว่า เป็นผู้นำตลาดแล้ว แต่ถ้านับเฉพาะสินค้า "กระเบื้องเซรามิก" ปัจจุบันบริษัทเป็น ผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก มีกำลังผลิต (สูงสุด) รวมต่อปี 120 ล้านตารางเมตร
ขณะที่ "ซีเมนต์" ในแง่กำลังผลิตเป็นอันดับ 2 รองจากกลุ่มโฮลซิมจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์
"คาดว่าในปี 2555 เมื่อการลงทุนโรงงานในธุรกิจต่าง ๆ แถบอาเซียนทยอยแล้วเสร็จ สัดส่วนยอดขายที่มาจากโรงงานในต่างประเทศจะเพิ่มจาก 7-8% เป็น 25%"
เท่ากับว่าการเป็นผู้นำอาเซียนในอีก 5 ปีข้างหน้า เป็นเป้าหมายที่อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 08-07-2553
|
|
|
|
|
