Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
Sank Cost 7,500 ไร่ ขุมทรัพย์ร่วมทุน "การเคหะฯ+เอกชน" ? |
|
คอลัมน์ สดจากเวที
เวิร์กช็อปหัวข้อ "การจัดทำโครงการร่วมลงทุนระหว่างการเคหะแห่งชาติ และภาคเอกชน" นับเป็นอีกหนึ่งความพยายามของรัฐวิสาหกิจ "กคช." ในการบริหารจัดการทรัพย์รอการพัฒนา หรือ Sank Cost ซึ่งหมายถึงที่ดินกว่า 7,500 ไร่ ที่ต้องแบกภาระต้นทุนบวก ดอกเบี้ยกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท ในปัจจุบัน
คีย์คอนเซ็ปต์การจัดการ Sank Cost มี 2 ออปชั่น คือ กคช.หยิบที่ดินมาพัฒนาเองส่วนหนึ่ง กับออปชั่นเชิญชวนภาคเอกชนให้เข้ามาร่วมลงทุนภายใต้ รูปแบบ PPP (Public Private Partnership) นำไปสู่การทำความรู้ความเข้าใจขนานใหญ่ โดยมีวิทยากรรับเชิญจาก 3 สมาคมเสาหลักวงการอสังหาริมทรัพย์
แนะตั้ง "บริษัทลูก" เพื่อความคล่องตัว
"ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต" กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท แสดงความเห็นว่า ที่ผ่านมาการดำเนินงานของ กคช.มีปัญหา ในด้านรูปแบบการพัฒนาและการตลาด โดยเฉพาะผลิตสินค้าออกมามากกว่าดีมานด์ที่มีอยู่จริงในตลาด หากต้องให้ ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนต้องปรับวิธีการและรูปแบบการพัฒนาใหม่ เพื่อให้ปิด การขายได้เร็วขึ้น
"การสร้างความสนใจให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุน สิ่งที่ต้องมีคือการสนับสนุนจากภาครัฐเหมือนในต่างประเทศ ที่สำคัญ ต้องมองด้วยว่าที่ดินที่มีอยู่ในมือมีจุดแข็งหรือไม่ อย่าเริ่มหาทางออกด้วยวิธีการ ร่วมทุนเพียงทางเดียว ให้มองด้วยว่า กคช.มีศักยภาพที่จะทำได้เองก่อนเพราะการร่วมทุนไม่ใช่คำตอบสุดท้าย" มุมมองแบบเข้มข้นของผู้บริหารพฤกษาฯ
"อิสระ บุญยัง" นายกสมาคมธุรกิจ บ้านจัดสรร มองต่างมุมว่า เอกชนมองว่าที่ดินเปล่าของ กคช. น่าจะมีโอกาสที่เอกชนจะเข้าไปร่วมลงทุนมากที่สุด เมื่อเทียบกับโครงการที่มีสิ่งปลูกสร้างแต่ กคช.จะต้องตัดสินใจขายที่ดินเปล่า ในราคาตลาด ไม่ใช่ราคาต้นทุนบวก ดอกเบี้ยซึ่งจะทำให้ราคาขายสูงกว่าราคาตลาด
อีกแนวทางหนึ่งคือการตั้งบริษัทลูก=ขึ้นมาดำเนินการในรูปแบบของบริษัท เช่นเดียวกับบริษัทกรุงเทพธนาคม บริษัทลูกของกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อให้ง่ายและมีความคล่องตัวในการร่วมทุน
เอกชนสนที่ดินเปล่าทำคอมมิวนิตี้มอลล์
ส่วน "กิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา" นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ให้ทรรศนะว่า ที่ดินเปล่าน่าจะมีความเหมาะสมที่จะนำมาพัฒนามากที่สุดโดยอาศัย กคช.มีจุดแข็งตรงที่เป็น หน่วยงานที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของภาครัฐ มีความได้เปรียบเอกชนตรงที่สามารถขออนุญาตก่อสร้างได้เร็วกว่าเอกชน และเข้าไปพัฒนาโครงการในบางพื้นที่ที่เอกชนทำไม่ได้
"ปัญหาของ กคช.ขณะนี้คือที่ดินส่วนใหญ่ราคาแพงกว่าที่ดินในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งแนวทางการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ควรปรับเปลี่ยนรูปแบบในการพัฒนา เช่น ขายที่ดินบางแปลงให้กับเอกชนเพื่อสร้างเป็นคอมมิวนิตี้มอลล์ เพื่อเป็นแม็กเนตและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับที่ดินใกล้เคียง"
"กิตติพล" ยังได้เรียกร้องด้วยว่า ภาครัฐควรมีมาตรการสนับสนุนทางด้านภาษีและดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ซื้อ แต่หาก ขายที่ดินไม่ได้จริง ๆ ควรจัดพอร์ตการขายโดยนำที่ดินทำเลดีกับที่ดินทำเลไม่ดีมาจัดกลุ่มขายเป็นแบบแพ็กเกจเพื่อถัวเฉลี่ยให้สามารถระบายสต๊อกที่ดินได้แบบยกแปลง |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 21-06-2553
|
|
|
|
|