Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
''ปริ ญสิริ'' ปั้นยอด 5 พันล้าน แบรนด์ ''ซิกเนเจอร์-ซิตี้ เซนส์-สมาร์ท คอนโด'' หัวหอก |
|
หลังถือฤกษ์วาระครบรอบ 10 ปีของการจัดตั้งบริษัทประกาศรีแบรนดิ้งองค์กรครั้งใหญ่ ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ที่ผ่านมา "ปริญสิริ" เดินหน้าตามแผนโดยเร่งสร้างภาพลักษณ์ใหม่ทันที ประเดิมด้วยการออกแคมเปญลดแจกแถมให้กับลูกค้าที่ซื้อบ้านและคอนโดฯ โดยดึง 10 นางเอกชื่อดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์
ถึงตอนนี้แม้สถานการณ์ทางการ เมืองจะทำให้แผนงานในสเต็ปที่ 2 อาจสะดุด ไปบ้าง แต่ยังมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าสู่เป้าหมายที่วางไว้ เพื่อก้าวขึ้นเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถพัฒนาโปรดักต์ให้สอดคล้อง กับความต้องการของผู้บริโภคตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ภายใต้ สโลแกน "The Art of Family Living"
นอกจากปรับโครงสร้างในการบริหารจัดการ ปรับตัวโปรดักต์และแบรนด์ ให้ดูโมเดิร์นมากขึ้น เพื่อให้ลูกค้าสามารถจดจำได้ง่ายขึ้นแล้ว ในส่วนของพอร์ต การลงทุนพัฒนาโครงการทั้งแนวสูงและแนวราบก็มีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม กับภาวะตลาด รวมทั้งเน้นพัฒนาโปรดักต์ ที่บริษัทมีความถนัดและเชี่ยวชาญ
"วี ระ ศรีธนะชัยโชค" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) บอกว่า การดำเนินการทั้งหมดนี้จะเห็น ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จากนี้ไป อย่างการรีแบรนด์ตัวโปรดักต์ เช่น บ้านเดี่ยว ที่ผ่านมามีหลายแบรนด์ ทั้งปริญสิริ ปริญญดา ปริญญดา ไลท์ สิริทวารา ฯลฯ ซึ่งเปิดตัวช่วงก่อนหน้านี้ และหลาย ๆ โครงการมีบ้านเหลือในสต๊อกไม่มาก ก็อาจจะมีการปรับเปลี่ยนแบรนด์ เพื่อสร้างการจดจำ ลูกค้าจะได้ไม่เกิดความสับสน ขณะเดียวกันการเซ็กเมนต์ตลาดก็จะ ชัดเจนขึ้นตามไปด้วย
เช่นเดียวกับทาวน์โฮม ทาวน์เฮาส์ ซึ่งเดิมมีหลายแบรนด์อย่างปริญลักษณ์ ไลท์, ดิ ยูโร โนวา, เดอะ นอร์ธเทิร์น โนวา จากนี้ไปก็จะปรับเหลือเพียงแค่ 2 แบรนด์ คือ ซิกเนเจอร์ และซิตี้ เซนส์ ส่วนคอนโดฯต่อไปแบรนด์หลัก ๆ คือ เดอะ คอมพลีท, บริดจ์ และสมาร์ท คอนโด ที่หายไปคือ เดอะ พลัลซ์
น้ำหนักในการลงทุนปีนี้ "ปริญสิริ" พยายามปรับพอร์ตลงทุนโดยให้น้ำหนักโครงการแนวราบมากขึ้น โดยเฉพาะ ทาวน์โฮมและทาวน์เฮาส์ เพราะมองว่า เป็นตลาดที่ยังไปได้ดี เนื่องจากกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มระดับกลางซึ่งมีฐาน ใหญ่ที่สุดในตลาด
จากปี 2552 ที่ผ่านมา โครงการในมือของ "ปริญสิริ" แบ่งเป็นโครงการแนวสูงหรือคอนโดฯ 60% ขณะที่แนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์อยู่ที่ 40% ปีนี้สัดส่วนการลงทุนและรายได้กระจายระหว่างแนวสูงและแนวราบในสัดส่วน 50 : 50 จากนั้นในปี 2554 ยอดขายและยอดโอนโครงการแนวราบจะมากกว่าแนวสูง ส่วนหนึ่งมาจากที่ผ่านมาการลงทุนคอนโดฯมีน้อยลง
"ปีนี้จนถึงปีหน้า จุดแข็งของเรายังอยู่ที่โปรดักต์ทาวน์โฮม ส่วนตลาดแนวสูง แบรนด์สมาร์ท คอนโด จะเป็นคอร์โปรดักต์" กรรมการผู้จัดการ บมจ.ปริญสิริกล่าว
"สมาร์ท คอนโด" ถือเป็นคอนโดฯ แบรนด์ใหม่ที่ "ปริญสิริ" หวังปั้นให้ติดตลาด โดยชูจุดเด่นด้านการดีไซน์รูปแบบโครงการ การจัดวางฟังก์ชั่นพื้นที่ใช้สอย และการจัดวางผังโครงการ ให้มีความแตกต่าง แต่ตั้งราคาขายไม่แพงนัก เนื่องจากเป็นคอนโดฯที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่ง เสริมการลงทุน (บีโอไอ) ประเดิมโครงการแรกบนพื้นที่ 22 ไร่เศษ ย่านพระราม 2 เมื่อปี 2552 ที่ผ่านมา เคาะราคาขายเริ่มต้นเพียงแค่ 6.99 แสนบาทเท่านั้น
ส่วน โครงการที่ 2 จะเปิดขายประมาณเดือนมิถุนายนนี้ ย่านวัชรพล-รามอินทรา ถิ่นเก่าของบริษัท ราคาเริ่มต้น 7 แสนบาทเศษ คาดว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าไม่น้อยกว่าโครงการแรก
"ในทำเลวัชร พลเรายังมีที่ดินเหลือพัฒนาได้อีกมาก ถ้าเปิดตัวโครงการแรกแล้วตลาดเวิร์ก ก็อาจจะเปิดขายเฟสต่อ ๆ ไปได้อีกเยอะ"
สำหรับโครงการแนวราบประเภท ทาวน์โฮม ทาวน์เฮาส์ คอร์โปรดักต์อีก ตัวหนึ่ง เดือนเมษายนที่ผ่านมาเปิดตัวไปแล้ว 3 โครงการ ประกอบด้วย ซิกเนเจอร์ ในทำเลเพชรเกษม 69 และวิภาวดีรังสิต 60 และซิตี้ เซนส์ ในทำเลสรงประภา ขณะที่บ้านเดี่ยวกำลังมองหาที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนา อีกไม่นานจะมีการลอนช์ออกมาแน่
เป็นการบริหารจัดการเพื่อบาลานซ์พอร์ ตการลงทุนให้มีสินค้าที่ลอนช์ออกสู่ตลาด และสามารถปิดการขายได้ตั้งแต่ 1 ปีครึ่งจนถึง 2 ปี เพื่อให้สามารถสร้าง ยอดรับรู้รายได้ตามเป้าที่ตั้งไว้
"แม้ปัญหาด้านการเมืองจะส่งผล กระทบการลงทุน และทำให้ตลาดชะลอตัวไปบ้าง แต่หลัก ๆ การดำเนินการทุกอย่างยังเป็นไปตามแผนที่วางไว้ เพียงแต่ในแง่ระยะเวลาอาจต้องเลื่อนไปบ้าง ตั้งแต่ 1 เดือนไปจนถึงเดือนครึ่ง เช่น หลังจากดึง 10 นางเอกชื่อดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์แล้ว ช่วงเดือนพฤษภาคมนี้จะต้องลอนช์แคมเปญใหม่โดยมี 10 พระเอกชื่อดังเป็นตัวชูโรงก็ต้องเลื่อนไปเป็นเดือนมิถุนายน เพราะต้องปรับแผนให้ยืดหยุ่นและทันสถานการณ์"
แต่สำหรับเป้ายอดขาย และยอดโอน "ปริญสิริ" ยังคงเป้าเดิมตลอดทั้งปีที่ 5,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ที่ผ่านมา ที่มียอดรับรู้รายได้ 4,300 ล้านบาท โดยมีเบ็กล็อกหรือยอดขายยอดทำสัญญาที่รอโอนและรับรู้รายได้ตุนไว้ในมือแล้ว 1,800 ล้านบาท
ในส่วนของการลงทุนใหม่ในปีนี้เบ็ดเสร็จทั้งปีจะเปิด ตัวโครงการใหม่ 10 โครงการ มูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท โดยให้ น้ำหนักไปที่โครงการแนวราบ 80% แบ่งเป็นบ้านเดี่ยวระดับราคา 4-10 ล้านบาท ทาวน์โฮมระดับราคา 2 ล้านบาทต้น ๆ และ 2-5 ล้านบาท ส่วนอีก 20% เป็น คอนโดฯบีโอไอ ขณะนี้แบรนด์เดอะ คอมพลีท และบริดจ์ อาจจะเห็นการลงทุนในปี 2554 และเริ่มมียอดรับรู้รายได้เข้ามาตั้งแต่ปี 2555-2556 เป็นต้นไป
|
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 06-05-2553
|
|
|
|
|