|
Link
to us!!!
|
| ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
|
| ''อธิป'' รับไม้ต่อบริหาร ''ศุภาลัย'' ชู 7R ปั้นยอด 1.5 หมื่นล้าน |
|
เซอร์ไพรส์เล็ก ๆ ของวงการ อสังหาริมทรัพย์ในเวลานี้ เมื่อบิ๊กบอสค่ายศุภาลัย "ประทีป ตั้งมติธรรม" ที่นั่งควบในตำแหน่งประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ มานานกว่า 10 ปี ประกาศดันลูกหม้ออย่าง "อธิป พีชานนท์" กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ ขึ้นนั่งในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการเต็มตัว เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา
"ประทีป" ให้เหตุผลในการผลักดัน มือรองขึ้นนั่งเก้าอี้ใหญ่ ดูแลการบริหาร จัดการศุภาลัยเบ็ดเสร็จทั้งองค์กรเป็นเพราะตัวเขาต้องการจะเฟดตัวเอง ออกจากงานบริหาร แล้วหันไปดูแลงานด้านการวางแผน การกำหนดนโยบาย เป็นหลัก พร้อม ๆ กับการทำกิจกรรมด้านสังคม และงานศิลปะ ที่มีความชื่นชอบเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว ที่สำคัญมองว่า ถึงเวลาแล้วที่จะให้ "อธิป" มารับไม้ต่อ เพราะทำงานกับบริษัทมานาน ผ่านประสบการณ์ครบเครื่องทั้งในยุคที่ธุรกิจอสังหาฯเฟื่อง ธุรกิจฟุบ หรือฟื้น
อย่างไรก็ตาม ว่ากันว่าตำแหน่งเอ็มดี คนใหม่ค่าย "ศุภาลัย" เปรียบเสมือนเป็นการตบรางวัลชิ้นใหญ่จากผู้ถือหุ้นใหญ่ หรืออีกนัยหนึ่งคือเจ้าของ "ศุภาลัย" ตัวจริง ที่มั่นใจฝีไม้ลายมือในการบริหารของ "อธิป" มาอย่างยาวนานกว่า 17 ปี
มี ส่วนสำคัญยิ่งในการผลักดันและ สร้างชื่อให้องค์กรแห่งนี้เป็นที่รู้จักในวงกว้างของกลุ่มลูกค้า ขณะเดียวกันก็ปั้นยอดขายยอดรับรู้รายได้ให้ "ศุภาลัย" เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปี 2552 ที่ผ่านมา ที่ "ศุภาลัย" สร้างสถิติใหม่มียอดรับรู้ รายได้และผลกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีรายได้ที่ 9,690 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% เมื่อเทียบกับปี 2551 ที่มีรายได้รวม 6,242 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,476 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132% เมื่อเทียบกับ ปี 2551 ที่มีกำไรสุทธิรวม 1,069 ล้านบาท
อีก ด้านหนึ่งก็เพื่อลดขั้นตอนในการทำงานให้กระชับและรวดเร็วมากขึ้น เพื่อให้งานทุก ๆ อย่างเดินไปอย่างคล่องตัว สอดรับกับสถานการณ์การแข่งขันในตลาดบ้านและคอนโดฯ นับวันจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวรองรับ การเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นตลอดเวลา
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ "ประทีป" คิดไว้ นานแล้ว แต่ยังไม่มีจังหวะเหมาะที่จะ เดินหน้าอย่างจริงจัง เนื่องจากขุนพลคู่กายมีภาระการงานหลายด้าน อย่างการนั่งเก้าอี้นายกสมาคมอาคารชุดไทย สวมบทบาท นักวิชาการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ในสถาบันการศึกษา หลายแห่ง การรับเชิญเป็นวิทยากรในงานประชุมสัมมนาหลายต่อหลายแห่ง บังเอิญช่วงนี้หมวกอีกใบในตำแหน่งนายกสมาคมอาคารชุดไทยกำลังจะหมดวาระพอดี ทำให้ทุกอย่างเหมือนลงตัวพอดี
เอ็มดีคนใหม่ค่าย "ศุภาลัย" ฉายวิสัยทัศน์ในการนำพาองค์กรหลังรับไม้ต่อว่าจะยังเดินหน้าตามนโยบายเดิม ที่บิ๊กบอสวางไว้ ภายใต้กลยุทธ์ Supalai 7R ซึ่งเป็นแนวทางการบริหารงานแบบ one stop service ให้การทำงานในทุกด้านไปในทิศทางเดียวกัน
ประกอบ ด้วย 1.CSR เน้นความ รับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรและคืนกำไรสู่สังคม โดยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสังคมกับศุภาลัย เพื่อได้รับการกล่าวขานและภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น
2.PR (Public Relation) งานประชาสัมพันธ์และความสัมพันธ์กับผู้สื่อข่าว จะเน้นการสร้างความสัมพันธ์อันดี ต่อสาธารณชนและสื่อมวลชน โดยมุ่งหวังให้สื่อมวลชนเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร พยายามผลักดันบทบาทในเชิงสร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดความร่วมมือซึ่งกันและกัน 3.CRM (Customer Relation Management) สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างบริษัทกับลูกค้ามากขึ้น โดยจัดกิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
4.ER (Employee Relation) สร้างความสัมพันธ์อันดีกับพนักงานภายในองค์กร เพื่อให้เกิดการทำงานอย่างมีความสุข 5.IR (Investor Shareholder Relation) ทำให้ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนเข้าใจและรับรู้ข่าวสารข้อมูลบริษัทดีขึ้น เพื่อสร้างความรู้สึกที่ดีต่อบริษัท และ เป็นผู้ถือหุ้นในระยะยาว 6.SCR (Supplier Contractor Relation) ให้ความสำคัญ กับคู่ค้าในแง่สร้างความเป็นธรรมและ ความจริงใจเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีและได้รับความไว้วางใจ และ 7.GR (Government Relation) เน้นให้เกิดการประสานงานและความคล่องตัว
"อธิป" ยอมรับว่า การปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ในครั้งนี้ ลึก ๆ แล้ว ก็เพื่อ ก้าวไปสู่เป้าหมายการรักษาตำแหน่งบริษัทพัฒนาที่ดินระดับท็อป 5 ของวงการอสังหาฯ และผลักดันยอดขายให้เป็นไปตามเป้า อย่างปีนี้ตั้งยอดขายไว้กว่า 15,000 ล้านบาท โดยไตรมาสแรก ที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายแล้ว 4,000-5,000 ล้านบาท
อีก 3 ไตรมาสที่เหลือปีนี้ ตลาดบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์น่าจะอยู่ในภาวะ ที่ทรงตัว แต่ต้องยอมรับว่าในส่วน ของตลาดคอนโดฯยังมีอนาคตที่สดใส โดยเฉพาะคอนโดฯเกาะแนวรถไฟฟ้า
ที่น่าเป็นห่วง คงเป็นผู้ประกอบการ รายเล็ก เพราะสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้โอกาสผู้ประกอบการอสังหาฯรายเล็กเติบโตเป็นไปได้ยาก ต่างจากรายใหญ่ที่ได้เปรียบในเรื่องความ น่าเชื่อถือ และมีความเสี่ยงต่ำน้อยกว่า |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 08-04-2553
|
|
|
|
|
