|
Link
to us!!!
|
| ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
|
| ''สัมมากร'' สลัดภาพคอนเซอร์เวทีฟ ปรับลุก-ปั้นแบรนด์แข่งบิ๊กเพลเยอร์ |
|
เป็น ครั้งแรกในรอบหลายปีที่ "สัมมากร" บริษัทพัฒนาที่ดินเจ้าของสโลแกน "เราไม่เพียงสร้างบ้าน แต่เราสร้างสังคม" ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อทำธุรกิจจัดสรรที่ดินในยุคแรก เมื่อ 40 ปีก่อนจะจัดแถลงข่าวเกี่ยวกับนโยบายและทิศทางการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นทาง การ แถมแปลกยิ่งกว่าที่การพบปะสื่อกับครั้งล่าสุดช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาดูมี สีสัน ต่างไปจากบรรยากาศเดิม ๆ ที่มักจะเป็นไปอย่าง เรียบ ๆ ตามภาพลักษณ์ขององค์กรที่ค่อนข้างคอนเซอร์เวทีฟ
ไม่ผิดนักหากจะมอง ว่าการดำเนินธุรกิจในแบบอนุรักษนิยมหรือคอนเซอร์เวทีฟ เน้นการเติบโตแบบยั่งยืนมาโดยตลอด นี่เองที่เป็นจุดแข็งทำให้องค์กรแห่งนี้รอดพ้นวิกฤตมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะที่ผู้ประกอบการพัฒนาที่ดินรายกลางรายเล็กจำนวนมากพากันล้มหายตายจาก แต่ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ที่สั่งสมมาเป็นเวลานานทำให้ชื่อ "สัมมากร" ยังอยู่ในใจของคนซื้อบ้าน
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก้าวสู่ยุค การแข่งขันระหว่างบิ๊กเพลเยอร์เต็มรูปแบบ โดยเฉพาะบริษัทพัฒนาที่ดินที่เป็นบริษัท จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้ทุกค่ายต้องแข่งกันพลิกตำราสู้ ทั้งในแง่ของการวางคอนเซ็ปต์โครงการ การดีไซน์โปรดักต์ รวมทั้งนวัตกรรมทางการตลาดรูปแบบใหม่ ๆ ที่เห็นได้ชัดเจนคือการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจแบบ 360 องศา ทั้งรีแบรนดิ้งองค์กรและแบรนด์สินค้าเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่ม ลูกค้าเป้าหมาย
แม้ไม่ถึงกับต้องเป็นอสังหาฯในระดับท็อปไฟฟ์ท็อปเทน แต่การดำเนินนโยบายในเชิงรุกมากขึ้นเป็นเป้าหมายใหม่ของ "สัมมากร" บริษัทพัฒนาที่ดินที่มีสำนักงานจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์เป็นผู้ถือหุ้น รายใหญ่ การก้าวรุกแต่ละสเต็ปจากนี้ไป จึงน่าจับตามมองไม่น้อย
หลัง ได้รับมอบหมายให้เข้ามาสานต่อภารกิจด้วยการรับหน้าที่บริหารจัดการ พอร์ตทรัพย์สินของ "สัมมากร" เมื่อ 2-3 ปีก่อนโดยมีการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการ และนำระบบไอทีเข้ามาใช้ในการบริหารต้นทุนและงานก่อสร้าง ถึงตอนนี้ "กิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา" คนรุ่นใหม่ที่มีดีกรีจากเมืองนอกพร้อมดำเนินนโยบายในเชิงรุกเต็มที่
"กิตติ พล" บอกว่ามั่นใจว่าชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของสัมมากรยังเป็นที่เชื่อมั่น ของลูกค้า ดังนั้นหลังปรับเรื่องการบริหารต้นทุน การก่อสร้างเสร็จเรียบร้อย ภายใน 2-3 ปีข้างหน้าสัมมากรจะสปีดยอดขายแตะระดับ 1,000 ล้านบาทได้แน่
ขณะ เดียวกัน เพื่อให้สอดรับกับกำลังซื้อในตลาด บริษัทจะลอนช์โครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ออกมา โดยโฟกัสไปที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ ได้แก่ แบรนด์ Aqua Divina โครงการบ้านเดี่ยวระดับราคา 6-10 ล้านบาท และแบรนด์ Flora Divina บ้านเดี่ยวระดับราคา 3 ล้านบาท
"ดีไซน์บ้าน เราให้บริษัทภายนอกออกแบบโดยให้เน้นพิเศษเรื่องของฟังก์ชั่นการใช้งานให้ สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ครบถ้วน เพราะถือเป็นจุดแข็งของเรามาตั้งแต่ต้น อีกไม่นานแบบบ้านใหม่จะลอนช์ออกมา"
เป้า หมายการลงทุน "สัมมากร" ยังโฟกัสไปที่ตลาดบ้านเดี่ยวเป็นหลัก แม้เวลานี้ผู้บริโภคจะหันไปซื้อคอนโดฯ มากขึ้น เพราะเชื่อว่ายังมีกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อบ้านเดี่ยวอีกมาก เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมาซัพพลายโครงการบ้านเดี่ยวออกสู่ตลาดน้อยลง ผลพวงมาจากสถาบันการเงินเข้มงวดปล่อยสินเชื่อ
โดยปลายปีนี้จะเปิดตัว บ้านเดี่ยวโครงการใหม่ใน 2 ทำเล ได้แก่ Aqua Divina ตั้งอยู่บนที่ดิน 65 ไร่ ย่านรามคำแหง และ Flora Divina บนที่ดิน 45 ไร่ ย่านราชพฤกษ์ มูลค่า 2 โครงการประมาณ 2,100 ล้านบาท
นอกจากรายได้หลักจากการพัฒนาโครงการ เพื่อขายแล้ว ยังมีรายได้ จากการร่วมทุนกับบริษัท ระยองเพียว ริฟายเออร์ จำกัด เป็นธุรกิจรีเทล ในรูปแบบ community mall โครงการ Pure Place ช็อปปิ้งมอลล์ ซึ่งเตรียมจะเปิดโครงการที่ 2 ในทำเลรามคำแหง ช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ พื้นที่ขายกว่า 9,000 ตร.ม. ใช้งบฯลงทุน 350 ล้านบาท อีกโครงการจะอยู่ในทำเลราชพฤกษ์ ลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท
"กิตติพล" บอกว่าปี 2552 ที่ผ่านมา แม้เศรษฐกิจและกำลังซื้อในตลาดบ้านจะชะลอตัว แต่บริษัทมีอัตราการเติบโตของรายได้เกินกว่าเป้าที่วางไว้ โดยมี ยอดขายกว่า 800 ล้านบาท เติบโตขึ้น 35% (เป้าเดิมเติบโต 20%) เมื่อเทียบกับปี 2551 มีรายได้ 665 ล้านบาท ส่วนปีนี้ตั้งเป้าเติบโตด้านรายได้ไว้ 13%
"ภาพรวมตลาดบ้านปีที่ผ่าน มาถือว่า อยู่ในเกณฑ์ดี แม้เศรษฐกิจและกำลังซื้อ ยังชะลอตัว วัดได้จากตัวเลขลูกค้าเยี่ยมโครงการมีกว่า 3,000 ราย เพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับปี 2551 ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มาจากการบอกต่อประมาณ 10% และในจำนวนนี้เราสามารถปิด การขายได้กว่า 90%"
ตอกย้ำให้มั่นใจยิ่งขึ้นว่า ชื่อ "สัมมากร" ยังขายได้
อย่าง ไรก็ตาม หลังปรับลุกใหม่ สิ่งที่ "กิตติพล" คาดหวังไว้คือ คนซื้อบ้านสัมมากรไม่ได้มีแค่ลูกค้าเก่า และลูกค้าใหม่ที่ได้รับการบอกต่อ แบบปากต่อปากเท่านั้น แต่จะมีกลุ่มใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาอีกด้วย |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 15-02-2553
|
|
|
|
|
