| freesplans.com | ศูนย์รวมแบบบ้าน และ ตกแต่ง หลากหลายสไตล์
ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป
: : g o  t o  m a i n p a g e : :
สถาปัตยกรรม | ตกแต่งภายใน | ดีไซน์-แกลอรี่ | แบบบ้านสวย | แนะนำ-ติชม | ถาม-ตอบ เรื่องบ้าน | ติดต่อเรา 
ขณะนี้มีผู้ชมอยู่ 57 ท่าน 
FreeSplanS MENU
Profession Search
+ งานสถาปัตยกรรม
+ งานวิศวกรรม
+ งานรับเหมาก่อสร้าง
+ งานรับเหมาเฉพาะด้าน
+ งานออกแบบ
+ งานอสังหาริมทรัพย์
+ งานบริการอาคาร
C a l c u l a t o r . . .
+ คำนวณปริมาณคอนกรีต
+ คำนวณปริมาณการใช้สี
+ คำนวณปริมาณกระเบี้องปูพื้นและผนัง
+ คำนวณปริมาณวอลเปเปอร์
+ คำนวณปริมาณ BTU แอร์
D o w n l o a d s . . .
+ Agreement & Forms
+ Program Utilities
+ Windows Font

 

Link to us!!!
Link to US!!!






ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง
 
กด Like เป็นกำลังใจให้เว็บด้วยนะค่ะ
| ข่าวทั้งหมด |

 fp 26-01-2552    อ่าน 12167
 บิ๊กอสังหาฯ หันพัฒนาบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท รับกำลังซื้อผู้บริโภคลดลง

นายอธิป พีชานนท์ กรรมการ บริษัท ศุภาลัย กล่าวว่า ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและกำลังซื้อผู้บริโภคชะลอตัว ผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จำเป็นต้องปรับตัว โดยบริษัทปรับตัวโดยสร้างบ้านในกลุ่มราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่ผู้บริโภคสามารถซื้อได้ในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอ

นอกจากนี้ยังต้องเน้นโลเคชันที่สะดวกสบาย แต่ก็ขึ้นอยู่กับประเภทที่อยู่อาศัยด้วยว่าเป็นแบบใด ทั้งนี้บริษัทไม่มีความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมากนักเนื่องจาก สินค้าของบริษัทอยู่ในระดับราคาประมาณ 3 ล้านบาทอยู่แล้ว และอยู่ในทำเลที่เข้าถึงผู้บริโภค

ในส่วนของสภาพคล่องทางการเงินของผู้บริโภค เชื่อว่าผู้บริโภคยังมีกำลังซื้ออยู่ และธนาคารก็จะยังมีการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย แม้จะมีความเข้มงวดเรื่องการปล่อยกู้มากขึ้น แต่ก็เชื่อว่าสภาพคล่องด้านกำลังซื้อยังไม่ใช่ปัญหา โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ซื้อที่ต้องการที่อยู่อาศัยในระดับไม่เกิน 3 ล้านบาท

ทั้งนี้บริษัทยังคงตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้และกำไรในปี 2552 มีการเติบโตจากปี 2551 เนื่องจากจะมีการโอนเพิ่มมากขึ้นในปีนี้ แต่ในส่วนของยอดขายปี 2552 เชื่อว่าจะใกล้เคียงกับปี 2551 ที่ผ่านมา

"ในส่วนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีผลต่อภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรง นั้น แน่นอนว่าช่วยทั้งผู้ซื้อและผู้ประกอบการ แต่จะช่วยมากน้อยเท่าใด คงยังมองเป็นตัวเลขไม่ได้ เพราะยังมีอีกหลายปัจจัยที่ต้องนำมาประกอบการพิจารณา แต่ผลดีย่อมมีแน่นอน"

ผู้ประกอบการลุ้นกำลังซื้อเพิ่ม

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ ผู้ประกอบการคอนโดมิเนียมระดับกลาง-ล่างรายใหญ่ มองว่า มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ออกมา เป็นเรื่องที่ดีต่อธุรกิจ จำนวนความต้องการเพิ่มขึ้น และยังส่งผลให้ยอดปฏิเสธสินเชื่อ(Reject Rate) ลดน้อยลง ขณะที่ แอล.พี.เอ็น.ดีเวลอปเมนท์ จะได้รับประโยชน์จากโครงการส่วนหนึ่งที่ดำเนินการก่อสร้างเสร็จแล้ว เช่น โครงการคอนโดมิเนียม ลาดพร้าว และ บดินทร์เดชา

"เราพูดมาเสมอว่าปีนี้ถือว่าเป็นโอกาสของธุรกิจอสังหาฯ สำหรับผู้ประกอบการที่มีความพร้อม เพราะเชื่อว่ารัฐจะมีมาตรการต่างๆ ในการกระตุ้นอสังหาฯ เพื่อเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และมาตรการใหม่ที่ไม่ต้องวางเงินดาวน์จะช่วยเพิ่มดีมานด์ และลด Reject Rate ความเสี่ยงลดลง"

นอกจากมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมแล้ว ผู้ประกอบการยังได้รับประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาลง รวมทั้งประเด็นการเมืองภายในประเทศที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น

"เราตั้งเป้ารายได้ในปี 2552 แตะที่ 8 พันล้านบาท และยังเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ 6-8 โครงการ มีมูลค่าโครงการรวมประมาณ 1 หมื่นล้านบาท"นายโอภาส กล่าว

วอนแบงก์ปล่อยกู้ช่วยผู้ซื้อ

นายสงกรานต์ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ ก่อให้เกิดอานิสงส์ทั้งกับผู้ประกอบการและผู้บริโภคจำนวนหนึ่งเท่านั้น ในแง่ของผู้บริโภค มาตรการเป็นเหมือนเครื่องมือช่วยในการตัดสินใจซื้อบ้านให้เร็วขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการได้ประโยชน์ในแง่ของการโอนที่เร็วขึ้น อย่างไรก็ตามมาตรการดังกล่าวไม่ได้ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นมาก นัก

ทั้งนี้ต้องการให้ภาครัฐหันมองนโยบายด้านดอกเบี้ยบ้าง โดยส่วนตัวเห็นว่าความต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยเงินฝากยังห่าง เกินไป ช่องว่างตรงนี้น่าจะมีการเข้าไปดูแลเพื่อช่วยให้สภาพคล่องเข้ามาในระบบมาก ขึ้น นอกจากนี้สถาบันการเงินควรให้ความช่วยเหลือโดยการปล่อยสินเชื่อแก่ผู้บริโภค ให้มากขึ้น เพราะหากสถาบันการเงินเข้มงวด เม็ดเงินก็จะไม่เกิดการหมุนเวียน

"สภาพเศรษฐกิจตอนนี้ไม่เหมือนตอนวิกฤติ ตอนนั้นธนาคารมีปัญหา ภาคการบริโภคก็มีปัญหา แต่ตอนนี้แบงก์ยังแข็งแรงดี ขณะที่ภาคการบริโภคเพียงแค่อ่อนแอเท่านั้น ยังไม่ถึงกับแย่ก็ควรจะช่วยเรื่องการปล่อยกู้ให้มากขึ้นเพื่อกระตุ้นให้เกิด การใช้จ่าย"

สำหรับการปรับตัวของบริษัท ชาญอิสสระ ในปี 2552 นี้จะเน้นการบริหารสินทรัพย์และโครงการที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพที่สุด โดยปัจจุบันบริษัทมีโครงการรอขายอยู่ คิดเป็นมูลค่า 3,000-4,000 ล้านบาท

ส่วนโครงการใหม่ๆ จะชะลอไว้ก่อนแล้วจะพิจารณาอีกครั้ง หลังจากผ่านช่วงครึ่งปีแรกไปแล้ว นอกจากนี้บริษัทยังจะหันมาเน้นนโยบายการตลาดให้รัดกุมขึ้น เน้นการโปรโมทโครงการที่แล้วเสร็จเกือบ 100% เพื่อกระตุ้นผู้บริโภค รวมถึงโปรโมชั่นแถมหรือเสริมบริการหลังการขาย ส่วนนโยบายเรื่องราคานั้นคงไม่มีการลดราคามากนัก
  
ที่มา
[ กรุงเทพธุรกิจ ] วันที่ 26-01-2552 

ค้นหาข่าวด้วยรหัส

รหัส








webmaster คลิกที่นี่

Copyright 2002 freesplans Design solution, Inc.