Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
"เอ็มบีเค" สยายปีกอสังหาฯ บูมบ้านริมสนามกอล์ฟ "ภูเก็ต-ปทุมฯ" |
|
หลังจากชิมลางขยายไลน์ด้วยการพลิกที่ดินร่วม 2,000 ไร่ ในจังหวัดภูเก็ต ลงทุนผุดสนามกอล์ฟ แล้วต่อยอดด้วยการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรริมสนามกอล์ฟประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ ล่าสุด บริษัท เอ็มบีเค จำกัด (มหาชน) ยักษ์ใหญ่เจ้าของศูนย์การค้ามาบุญครอง ภายใต้การนำของ สุเวทย์ ธีรวชิรกุล กรรมการอำนวยการ มีแผนจะรุกธุรกิจพัฒนาที่ดินเพื่อขายอย่างโครงการบ้านจัดสรรริมสนามกอล์ฟเต็มสูบ นอกเหนือจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ให้เช่าซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หลักให้กับกลุ่มเอ็มบีเค
ขณะเดียวกันก็ตั้งเป้าหมายจะขยับปั้นรายได้จากธุรกิจพัฒนาที่ดินเพื่อขาย จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 4% ของรายได้รวม เป็น 10% ภายใน 3 ปีถึง 5 ปีข้างหน้า เพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้กับบริษัท และเป็น การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับที่ดินที่มีอยู่ในมือ
"ธุรกิจหลักๆ เรามีอยู่ 6 กลุ่ม คือ 1.ศูนย์การค้าเป็นอสังหาฯให้เช่า อาทิ ศูนย์การค้ามาบุญครอง การเข้าไปถือหุ้นในสยามพิวรรธน์ที่บริหารสยามเซ็นเตอร์, สยาม ดิสคัฟเวอรี่, สยามพารากอน เราถือหุ้นอยู่ราว 30% และที่เพิ่งได้มาหมาดๆ คือเสรีเซ็นเตอร์ ซึ่งเราถืออยู่ 50% และถือผ่านสยามพิวรรธน์อีก 15% รวมแล้วถืออยู่ 65% โดยประมาณ
2.ธุรกิจโรงแรม เป็นอสังหาฯให้เช่าชนิดหนึ่ง มีปทุมวันปริ๊นเซส, เชอราตัน กระบี่ รีสอร์ท, ทินิดี ระนอง และมีอีกส่วนหนึ่งที่เข้าไปถือหุ้นในรอยัล เชอราตัน สี่พระยา, ดุสิตธานี ฯลฯ 3.ธุรกิจสนามกอล์ฟ มีที่ภูเก็ต 2 สนาม อีกสนามที่จังหวัดปทุมธานีกำลังสร้างอยู่ เหตุผลที่ทำธุรกิจนี้เพราะมันจะไปพ่วงกับธุรกิจอสังหาฯ การพัฒนาบ้านขาย ซึ่งทำอยู่ที่ภูเก็ต และในอนาคตจะมีที่ปทุมธานี
4.ธุรกิจข้าวถุงมาบุญครอง เป็นธุรกิจเริ่มแรกของบริษัท 5. พัฒนาอสังหาฯ เพื่อขาย 6.ธุรกิจอื่นๆ คือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริการและการเงิน เช่น การเข้าไปถือหุ้นธนาคารธนชาต 10%, มีบริษัทที่ไปซื้อหนี้เสียมาบริหาร และธุรกิจประมูลรถยนต์" สุเวทย์แจกแจงรายละเอียด
แม้รายได้หลักจะมาจากศูนย์การค้าถึง 35% (ไม่รวมเสรีเซ็นเตอร์) กลุ่มโรงแรม 21% ธุรกิจข้าว 32% อสังหาฯ 4% สนามกอล์ฟ 3% และอื่นๆ 4% แต่ในอีก 3-5 ปี เอ็มบีเคจะให้น้ำหนักธุรกิจอสังหาฯเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มโรงแรมจะเพิ่มเป็น 25% ศูนย์การค้าจะขยับเป็น 40% และอสังหาฯเพิ่มเป็น 10% ขณะที่ธุรกิจข้าวอาจลดลงเหลือ 30%
นอกเหนือจากบ้านริมสนามกอล์ฟที่ ประเดิมลงทุนในภูเก็ต คือ The Tin Nine Golf&Country Club ที่จับตลาดระดับบนเน้นลูกค้าชาวต่างชาติ เฉลี่ยราคาหลังละ 10 ล้านบาทอัพ จนถึง 40 ล้านบาท ที่ทำตลาดมา 3 ปี ชื่อโครงการบ้านสวนล็อคปาล์ม ที่กันออกมาจากสนามกอล์ฟประมาณ 300-400 ไร่ แล้วแบ่งเฟสพัฒนา ที่ผ่านมาตลาดไปได้ค่อนข้างดี แม้ช่วงนี้จะอืดไปบ้าง ผลพวงจากวิกฤตการเงินและเศรษฐกิจโลก แล้วเอ็มบีเคยังมีโครงการบ้านจัดสรรที่พัฒนาขึ้นเจาะตลาดลูกค้า คนไทยอีกโดยเฉพาะ ตั้งราคาไว้ที่ 2-4 ล้านบาท อีกโครงการหนึ่ง
"ที่ภูเก็ต เราอยากจะทำให้เป็น คอมมิวนิตี้มอลล์ เป็นชุมชนเล็กๆ เราคิดว่าแบบนี้จะเหมาะสำหรับอนาคต คอนเซ็ปต์คงเอื้อแก่ชาวต่างชาติ บรรยากาศคล้ายๆ ว่าอยู่ในเมืองนี้จะเป็นเมืองอีกเมืองหนึ่ง จะมีส่วนของโรงแรมเราจะมีการบริหารเอง ทำทั้งหมด 50 ห้อง มีการบริการหลังการขาย อาจมีการดูแลสวน ตัดหญ้า ทำความสะอาดบ้านให้ ถ้าเจ้าของต้องการ ใน 2,000 ไร่นี้คิดว่ามีความสมบูรณ์ภายใน 6 ปี
ส่วนบ้านริมสนามกอล์ฟอีกโครงการหนึ่งที่จะพัฒนาขึ้นในทำเลติวานนท์ จังหวัดปทุมธานี บนที่ดินซึ่งเมื่อรวมกับที่กำลังพัฒนาเป็นสนามกอล์ฟแล้วร่วม 800 ไร่ หลังเปิดให้บริการสนามกอล์ฟในปี 2552 คงจะเป็นรูปธรรมมากขึ้น จากปัจจุบันอยู่ระหว่างออกแบบและวางคอนเซ็ปต์โครงการ อย่างไรก็ตามภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ การจะลงทุนใหม่คงต้องคิดให้ถ้วนถี่เพราะไม่จำเป็นต้องรีบร้อน" |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 27-11-2551
|
|
|
|
|