Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
ปราโมทย์ เตชะสุพัฒน์กุล ติดอาวุธปูนซีเมนต์ "ตราเสือ" แปรวิกฤตเป็นโอกาส |
|
สัมภาษณ์
ด้วยจังหวะเศรษฐกิจช่วงนี้ไม่ใช่ ขาขึ้นของธุรกิจปูนซีเมนต์ โจทย์สำคัญจึงอยู่ที่ใครจะ ปรับตัวเพื่อเปลี่ยน "วิกฤต" ให้เป็น "โอกาส" ได้เร็วกว่ากัน
อาจเป็นเพราะปูนซีเมนต์คือเป็นวัสดุก่อสร้างต้นน้ำ การรับรู้แรงกระเพื่อม จึงมาก่อนวัสดุอื่นๆ แต่สำหรับเครือซิเมนต์ไทยหรือ "SCG" กลับใช้โอกาสนี้ ส่งปูนถุงสูตรใหม่ภายใต้ชื่อ "ซูเปอร์ซีเมนต์ ก่อ ฉาบ เท" พร้อมอัดงบฯ การตลาด 40-50 ล้านบาท ออนแอร์หนังโฆษณาสร้างแบรนด์ เพื่อเป็น "อาวุธ" สำคัญ ในการกระตุ้นยอดขายสินค้าในกลุ่มปูนฉาบตราเสือที่มีอายุยาวนานถึง 70 ปี
"ผมว่าเราอยู่นิ่งไม่ได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ต้องหาให้ได้ว่า ณ ช่วงเวลานั้นตลาดต้องการอะไร อย่างปูนซูเปอร์ซีเมนต์เราถือเป็น second brand ที่ต่ำกว่าตราเสือลงมาอีกขั้น เพื่อเข้ามาจับกลุ่มลูกค้าที่อยากใช้ปูนคุณภาพใกล้เคียงกับตราเสือแต่ต้องการจ่ายเงินน้อยลง" ปราโมทย์ เตชะสุพัฒน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ของบริษัท เอสซีจี ซิเมนต์ จำกัด ในเครือซิเมนต์ไทยให้สัมภาษณ์ "ประชาชาติธุรกิจ"
ซีอีโอธุรกิจซีเมนต์ของ SCG ขยายความว่า ได้ใช้เวลาในการศึกษาตลาด และพัฒนาผลิตภัณฑ์นี้นาน 2-3 ปี อนตัดสินใจวางตลาดในช่วงนี้ เพราะ ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย สินค้าตัวนี้ น่าจะเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค สำหรับปูนซูเปอร์ซีเมนต์ขนาดบรรจุถุงละ 40 กิโลกรัม จากปกติปูนถุงทั่วไปมีขนาดบรรจุ 50 กิโลกรัม และวางราคาต่ำกว่าปูน ตราเสือ 10% และบรรจุในถุงเคลือบพลาสติกป้องกันความชื้น
อย่างไรก็ตาม ด้วยเนื้อปูนที่มีความ เข้มข้นขึ้น แม้ขนาดบรรจุจะลดลง 20% แต่สามารถก่อฉาบเทได้เท่ากับขนาด 50 กิโลกรัม การันตีด้วยเนื้อปูนที่เข้มข้นขึ้น และโลโก้ปูนเสือติดที่ถุง
ปัจจุบันการทำตลาดของปูนก่อฉาบเทของ SCG แบ่งเป็น 3 เซ็กเมนต์หลักๆ ลดหลั่นกันลงมาคือ 1) เสือพลัส 2) ตราเสือ และ 3) ซูเปอร์ซีเมนต์ ซึ่งเป็นการขยายฐานลูกค้า ไม่นับรวมปูนตราแรดที่ถือเป็นไฟติ้งแบรนด์ของค่ายนี้
"วัตถุประสงค์ของพัฒนาผลิตภัณฑ์คือคัสคอมไมซ์ให้ตรงความต้องการผู้บริโภคมากขึ้น ขอยืนยันว่า "ซูเปอร์ซีเมนต์" ไม่ใช่แบรนด์เฉพาะกิจที่ออกมาทำตลาด ในช่วงเศรษฐกิจซบเซา"
ในแง่ยอดขาย "ปราโมทย์" บอกถึง เป้าหมายว่าในช่วงปีแรกปูนซูเปอร์ซีเมนต์ต้องส่วนแบ่ง 10% ของตลาดปูนถุง (ก่อฉาบเท) ทั้งหมดที่มีความต้องการใช้ 8-9 ล้านตัน/ปี หรือคิดง่ายๆ คือมียอดขายเกือบ 1 ล้านตัน
หลังจากวางจำหน่ายมา 2 เดือน ผลตอบรับถือว่าดีเห็นได้จากมีเอเย่นต์ทั้งที่ขายให้ผู้รับเหมาและร้านค้าช่วงสั่งซื้อสินค้าซ้ำเข้ามาแล้ว ส่วนยอดขายปูนเสือก็ยังคงไปได้ในระดับใกล้เคียงกับของเดิม
แต่ในแง่การวัดผลคงต้องใช้เวลาอีก เป็นปีๆ เพราะปูนซีเมนต์ไม่ได้เป็นสินค้า ที่มีความถี่ในการใช้งาน
"ปราโมทย์" บอกอีกว่า SCG ยังคง ต้องมุ่งพัฒนาสินค้าที่เป็นอินโนเวชั่นใหม่ๆ ออกมาต่อเนื่อง ไม่ว่าสถานการณ์ตลาดจะโตขึ้นหรือหดตัวลง เพราะภารกิจคือ ต้องหาจุดที่ตอบสนองความต้องการลูกค้าให้ได้
ส่วนตระกูลปูน "ตราช้าง" ที่ยังไม่มีความเคลื่อนไหวในแง่ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เป็นเพราะส่วนหนึ่งมีช่องทางการขายผ่าน "คอนกรีตผสมเสร็จซีแพค" เหมือนเป็นหนึ่งในวัตถุของคอนกรีตซีแพค อินโนเวชั่น จึงออกไปทางนั้น
ปัจจุบันแนวโน้มการใช้ปูนถุงโดยเฉพาะปูนสำหรับงานโครงสร้างจะลดลงเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ต้องมีสต๊อกปูน ไม่เกิดความสูญเสีย อย่างการซื้อปูน ไปผสมเองที่แน่ๆ คือต้องซื้อเผื่อเหลือไว้ก่อน เพราะถ้าไม่พอใช้งานจะขาดตอนทันที แต่คอนกรีตใช้เท่าไหร่สั่งเท่านั้น เชื่อว่าเทรนด์จะมาแบบนี้เหมือนกับทั่วโลก |
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 27-11-2551
|
|
|
|
|