Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
ธุรกิจรับสร้างบ้านระดมสมอง ตั้งการ์ดรับความเสี่ยงต้นทุนผันผวน |
|
คอลัมน์ Home Buider
ถือเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของวงการธุรกิจรับสร้างบ้าน เพราะช่วงเวลาเพียง 1 เดือนเศษที่ผ่านมา ราคาเหล็กเส้นได้พุ่งทะยานจากกว่า 30 บาท เป็น 41-42 บาทต่อกิโลกรัม ทำสถิติราคาพุ่งลิ่วสูสีกับราคาน้ำมัน
แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้น หากย้อนไปเปรียบเทียบกับช่วงไตรมาส 3 ปี 2550 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าราคาเหล็กในปัจจุบันปรับสูงขึ้นไปแล้วประมาณ 100% ทำให้การ "บริหารต้นทุน" ของการทำธุรกิจรับสร้างบ้านในปีนี้เป็นไปอย่างลำบาก
เช่นเดียวกับต้นทุนการก่อสร้างบ้าน 1 หลัง ได้ปรับเปลี่ยนไปอย่างมาก ณ วันนี้เฉพาะ "งานโครงสร้าง" ต้นทุนปรับขึ้นไปแล้วเกือบเท่าตัว จากเดิมคิดเป็นสัดส่วน 30% ของงานก่อสร้างบ้านทั้งหลัง เพิ่มเป็น 50-60% ทำให้บริษัทรับสร้างบ้านหลายๆ บริษัทต้องตัดสินใจปรับขึ้นราคาก่อสร้างบ้าน
สิ่งที่ตามมาคือผลกระทบในเชิงจิตวิทยากับลูกค้าซึ่งมีทั้งแง่บวกและลบ คือ 1) กลุ่มที่ตัดสินใจชะลอการสร้างบ้านออกไปแบบไม่มีกำหนด และ 2) กลุ่มที่รีบตัดสินใจสร้างบ้านช่วงนี้เพราะกังวลว่าในอนาคตราคาจะปรับสูงขึ้นอีก สำหรับประเภทหลังนี้ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าเก่าที่มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจอยู่ในมือบ้างแล้ว
นั่นหมายความว่า "โอกาส" ท่ามกลางวิกฤตก็ยังคงมีอยู่ แต่สิ่งสำคัญคือต้อง "บริหารจัดการ" ให้เป็น โดยวันที่ 10 กรกฎาคมนี้สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านเตรียมจัดงานสัมมนาประจำปีภายใต้หัวข้อ "การสร้างบ้านคุณภาพในยุคน้ำมันแพง" ภายในอาคารชินวัตร 3 ถือเป็นการระดมสมองเพื่อหาแนวทางรับมือปัญหาที่ เกิดขึ้น
ใช้วัสดุสำเร็จรูปลดเวลาก่อสร้าง
กับปัญหาการจัดการต้นทุนในมุมมอง "พันธุ์เทพ ทานชิติกุล" นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านและเอ็มดีของบริษัทรับสร้างบ้าน "เมคเคอร์โฮม" มองว่า นอกจาก เหนือการเจรจาขอ "ยืนราคา" วัสดุกับ ร้านค้าที่ซื้อขายกันประจำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกบริษัททำได้ไม่แตกต่างกันมากนักแล้ว การควบคุม "ระยะเวลาก่อสร้าง" ก็เป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ โดยเฉลี่ยแล้วการก่อสร้างบ้าน 1 หลัง ควรใช้ระยะเวลาไม่เกิน 4-6 เดือน
เพราะการส่งมอบบ้านให้ลูกค้าได้อย่างรวดเร็วเท่าไร เท่ากับช่วยลดค่าใช้จ่ายแรงงานได้ส่วนหนึ่ง
เพื่อควบคุมระยะเวลาการก่อสร้าง เร็วๆ นี้ "เมคเคอร์โฮม" เตรียมนำระบบ "เสา-คาน" สำเร็จรูป (พรีแฟบ) มาใช้กับงานก่อสร้างบ้านบางรุ่น โดยใช้วิธีเอาต์ซอร์ซจ้างผลิตชิ้นส่วนเสา-คานจากโรงงาน ซึ่งถ้าตลาดตอบรับดีก็อาจจะขยายไปยังแบบบ้านรุ่นอื่นๆ ต่อไป
เช่นเดียวกับ "สุรัตน์ชัย กึงฮะกิจ" กรรมการผู้จัดการ "ดิเอ็มเพอเร่อร์เฮ้าส์" บริษัทรับสร้างบ้านระดับไฮเอนด์ที่เริ่ม นำ "วัสดุสำเร็จรูป" มาใช้ในงาน ก่อสร้าง โดยเริ่มนำเสนอแผ่นพื้น คอนกรีตสำเร็จรูปให้ลูกค้าตัดสินใจเพื่อใช้ทดแทนวิธีการเทพื้นคอนกรีตหน้างาน ช่วยลดระยะเวลาในขั้นตอนงานก่อสร้างให้ รวดเร็วขึ้น
ล่าสุดได้เริ่มใช้กับบ้านของลูกค้าในย่านเกษตรนวมินทร์ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างเป็นหลังแรก ควบคู่ไปกับการปรับแบบบ้านจากสไตล์ "คลาสสิก" และ "โรมัน" มาเป็นสไตล์ "คอนเทมโพรารี" มากขึ้น เพื่อลดรายละเอียดงานบัวปูนปั้นที่ต้องอาศัยช่างฝีมือที่มีทักษะสูง รวมถึงเตรียมนำระบบโครงหลังคาสำเร็จรูปมาใช้ต�อไปในอนาคต
ปรับวิธีสั่งสินค้า
การปรับเปลี่ยนวิธีการสั่งซื้อสินค้า ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่บริษัทรับสร้างบ้านบางรายนำมาใช้ลดความเสี่ยงการขาดทุนจากราคาวัสดุที่ผันผวน เพราะกว่างาน ก่อสร้างบ้านจะแล้วเสร็จเฉลี่ยต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 4-8 เดือน ในสถานการณ์ราคาวัสดุผันผวนธุรกิจรับสร้างบ้านจึงมีความเสี่ยง "ขาดทุน" มากขึ้น ส่วนการ สต๊อกวัสดุล่วงหน้าไว้ในโกดังสินค้าถือว่าไม่คุ้มค่า เนื่องจากมีไซต์งานก่อสร้างบ้านกระจายไปทั่วทุกทำเลการขนย้ายจึงมีต้นทุนสูงมาก
"บุญลือ วงศ์พรเพ็ญภาพ" กรรมการ ผู้จัดการของ "โฮมสแตนดาร์ด ดีเวลลอปเม้นท์" เป็นหนึ่งในบริษัทรับสร้างบ้านบอกว่า เริ่มปรับรูปแบบการสั่งซื้อวัสดุใหม่มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยใช้วิธีสั่งซื้อเหล็กเส้นกับร้านค้าทันทีที่ลูกค้าเซ็นสัญญาก่อสร้างบ้าน โดยยินยอมวางเงินสดล่วงหน้าจำนวนหนึ่งเพื่อขอยืนราคา และให้ร้านค้าเก็บสินค้าไว้ชั่วคราว จากเดิมที่รอจนกว่าจะถึงช่วงเวลาที่ต้องการใช้เหล็กในงานก่อสร้าง จึงเริ่มสั่งของ เข้าไซต์
อย่างไรก็ตาม ทั้งเมคเคอร์โฮม ดิเอ็มเพอเร่อร์เฮ้าส์ และโฮมสแตนดาร์ด ต่างยอมรับว่าในภาวะที่ราคาวัสดุผันผวนจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนมาใช้วิธีโค้ดราคาบ้านแบบหลังต่อหลังตามต้นทุนที่เพิ่มจริง จากเดิมที่กำหนดราคาบ้านแต่ละแบบตายตัว โดยนับจากเดือนมกราคมที่ผ่านมาถึงปัจจุบันพบว่าราคาเฉลี่ยของแต่ละบริษัทปรับขึ้นไปแล้วประมาณ 10%
ขณะที่แนวโน้มราคาวัสดุในช่วงครึ่งปีหลังยังค่อนข้างคาดการณ์ลำบาก แต่สำหรับแนวโน้มราคา "น้ำมัน" ในความเห็นของ "ศักดา โควิสุทธิ์" อดีตนายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านเชื่อว่ายังเป็น ขาขึ้น จนกว่าเศรษฐกิจทั่วโลกจะปั่นป่วนหยุดชะงักจากปัจจัยราคาน้ำมัน เมื่อทุกอย่างอาจจะดีขึ้นบ้าง
ช่วงนี้ผู้ประกอบการจึงต้องเร่งปรับตัว และหามาตรการรองรับปัจจัยลบที่มากระทบ เพื่อให้สามารถประคองตัวอยู่ได้ท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังมีปัญหา ขณะที่การแข่งขันในตลาดก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
|
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 03-07-2551
|
|
|
|
|