Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
ครึ่งปีหลังอสังหาฯวุ่นปรับกลยุทธ์ คุมต้นทุน-ปรับพอร์ตบ้านสั่งสร้าง-ลดเพดานลูกค้า |
|
อสังหาฯปรับทัพรับมือวิกฤต หลังราคาน้ำมัน วัสดุก่อสร้าง ดอกเบี้ย เงินเฟ้อพุ่ง งัดกลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ พร้อมคุมต้นทุนพัฒนาโปรเจ็กต์ เผยทั้งระดับบิ๊ก รายกลาง รายเล็ก พลิกตำราลดคอสต์จ้าละหวั่น ทั้งลดไซซ์บ้าน ขนาดโครงการ ลดสต๊อกให้เหลือแค่พอขายระยะสั้นๆ นำเทคโนโลยีการก่อสร้างสมัยใหม่มาใช้ ปรับฐานลูกค้าลดความเสี่ยง แต่ยังมองบวกปัญหายังรุนแรงไม่ได้ครึ่งวิกฤตปี"40
นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในภาพรวมวิกฤตพลังงานกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ลุกลามไป ทั่วโลก และส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อในตลาดบ้าน ทำให้ความสามารถในการซื้อบ้านมีน้อยลง
"ปัญหาน้ำมัน การเมือง และดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น กลายเป็นปัจจัยที่ส่งผลในทางลบต่อตลาดอสังหาฯในช่วงนี้อย่างมาก ที่ทำได้ตอนนี้คือปรับแผนลดภาระค่าดำเนินงานและประคองตัวให้อยู่ได้ โดยไม่หวังกำไรมากนัก ผมเชื่อว่าดีเวลอปเปอร์ส่วนใหญ่จะผ่านพ้นช่วงวิกฤตนี้ไปได้ หลักสำคัญคืออย่าก่อหนี้เพิ่ม" นายอิสระกล่าว และว่า
เพื่อให้อยู่รอดในภาวการณ์ที่เป็นอยู่ขณะนี้ บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานใหม่เพื่อรับมือกับภาวะต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้น เช่น 1.ลดค่าใช้จ่ายด้านบริหารจัดการ และการก่อสร้าง แต่ยังรักษาคุณภาพสินค้าให้ได้เท่าเดิม 2.ลดขนาดโครงการที่พัฒนาให้เล็กลง เพื่อให้การปิดเฟสหรือปิดการขายทำได้เร็วขึ้น ขณะเดียวกันได้มีการปรับลดขนาดบ้านให้สอดคล้องกับกำลังซื้อด้วย 3.นำการผลิตระบบการผลิตในลักษณะอุตสาหกรรมเข้ามาใช้เพื่อลดต้นทุน เช่น ระบบพรีแฟบ พรีคาสต์ เป็นต้น
นายอิสระกล่าวว่า ตอนนี้ดีเวลอปเปอร์เกือบทุกรายลดกำลังการผลิตหมด จะใช้วิธีผลิตแค่พอขายในระยะสั้นๆ เช่น จากสต๊อก 200 ยูนิต ก็ผลิตแค่ 100 ยูนิตเท่านั้น เพื่อควบคุมคอสต์ไม่ให้ขยับขึ้นมากกว่านี้ ยกเว้นค่ายพฤกษาฯรายเดียวที่เร่งงานก่อสร้างสวนกระแสตลาด อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้มีระดับความรุนแรงอยู่ที่ 40% เท่านั้น เมื่อเทียบกับวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ซึ่งมีระดับความรุนแรงมากกว่านี้มาก
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า การปรับตัวของผู้ประกอบการอสังหาฯเพื่อรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นเริ่มมีให้เห็นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา อาทิ บมจ.เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง ปรับแนวทางดำเนินงานด้วยการปรับไซซ์บ้านเดี่ยวให้มีขนาดเล็กลง เพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อผู้บริโภค พร้อมๆ กับกำหนดฐานราคาบ้านใหม่ จากเดิมราคาอยู่ที่ 2 ล้านบาทปลายๆ จนถึง 10 ล้านบาท มาเน้นเจาะตลาดบ้านระดับราคา 2-4 ล้านบาทเป็นหลัก เพราะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อมากที่สุดในภาวะปัจจุบัน นอกจากนี้ เอ็น.ซี.ฯยังปรับสัดส่วนบ้านสั่งสร้างเพิ่มขึ้นจากระดับ 30% เป็น 47% ส่วนบ้านสร้างเสร็จก่อนขายปรับลดลงเหลือ 23% จากเดิมอยู่ที่ 30%
บมจ.อีสเทอร์น สตาร์ เรียลเอสเตท ปรับแผนการทำงานขององค์กรให้มีความกระชับและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และรุกทำตลาดมากขึ้นหลังจากชะลอไประยะหนึ่ง พร้อมกับเร่งสร้างแบรนด์สินค้าเพื่อรองรับการย้ายฐานการลงทุนเข้ามาพัฒนาโครงการในกรุงเทพฯมากขึ้น เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพมากที่สุดทั้งในแง่ของระบบโครงข่ายคมนาคม สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และความสามารถในการทำกำไร เป้าหมายหลักโฟกัสไปที่คอนโดฯในเมืองเกาะแนวรถไฟฟ้า จับลูกค้ากลุ่ม B- และ A+ โดยจะตัดขายแลนด์แบงก์ในมือในจังหวัดระยองกว่า 1,000 ไร่ มูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท เพื่อนำมาลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ในกรุงเทพฯมากขึ้น
ส่วนผู้ประกอบการที่ปรับกลยุทธ์โดยเลือกนำเทคโนโลยีการก่อสร้างทันสมัยเข้ามาใช้เพื่อลดต้นทุนการสร้างบ้านและ คอนโดฯ ทั้งระบบสำเร็จรูป กึ่งสำเร็จรูป ปัจจุบันมีจำนวนมาก ที่น่าสังเกตคือส่วนใหญ่ต่างเป็นผู้ประกอบการระดับนำในตลาด อาทิ พฤกษา เรียลเอสเตท, แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์, กานดา พร็อพเพอร์ตี้, โฮมเพลส ดีเวลลอปเมนท์, แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้, พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เป็นต้น
|
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 19-06-2551
|
|
|
|
|