Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
สุวรรณา พุทธประสาท หญิงเหล็กแห่ง "ควอลิตี้ เฮ้าส์" |
|
วิกฤตต้มยำกุ้งที่สร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจไทยอย่างหนักเมื่อ 10 ปีก่อน ยังเป็นฝันร้ายที่นักธุรกิจนักลงทุนยังจดจำได้แม่นยำ เพราะผลกระทบเกิดขึ้นในวงกว้าง เพียงชั่วข้ามคืนบริษัทพัฒนาที่ดินทั้งใหญ่ เล็ก ต่างมีหนี้สิ้นล้นพ้นตัวจากการประกาศให้ค่าเงินลอยตัว
ในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ "ควอลิตี้ เฮ้าส์" ใช้เวลาหลายปีเคลียร์ภาระหนี้จากพิษวิกฤตเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็ปรับโครงสร้างในการบริหารจัดการ พลิกกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ จนสามารถก้าวขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าของบริษัทพัฒนาที่ดินเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง ล่าสุดปี 2549 ที่ผ่านมาทำสิถิติยอดขายแตะหมื่นล้านบาทติดอันดับ 3 เป็นรองแค่แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กับ แสนสิริเท่านั้น
"ประชาชาติธุรกิจ" มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ "สุวรรณา พุทธประสาท" กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในแกนนำหลักที่มีส่วนสำคัญในการคุมเกมทั้งรุกและรับ จนทำให้คิวเฮ้าส์ก้าวมาถึงจุดนี้ได้
u ธุรกิจอสังหาฯมองว่าอะไรที่สำคัญ
เงินลงทุนเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะใช้เงินค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะพัฒนาที่อยู่อาศัย ตึกสูงให้เช่า เช่น เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ออฟฟิศ ฯลฯ เพราะฉะนั้นสิ่งที่คิวเฮ้าส์มอง คือ จะจัดหาเงินทุนมาจากแหล่งไหน ด้วยต้นทุนที่ไม่สูงนัก เพราะ ฟันดิ้งเป็นสิ่งสำคัญมาก
นโยบายลงทุนหลังจากพ้นวิกฤตเรามี 2 แนวทาง คือ 1.การกู้เงินจากประชาชน หรือ ออกหุ้นกู้ (บอนด์) 2.เวลาขยายธุรกิจเราต้องการ ความแน่นอน ฉะนั้นจึงต้องมีเงินทุนบางส่วนที่กู้กับธนาคาร
u วอลุ่มที่ออกบอนด์และกู้แบงก์
ออกบอนด์ระดับ 60-70% ต่อจำนวนเงินที่ต้องการใช้ ส่วนระยะที่ออกมีตั้งแต่ 2 ปี 3 ปี หรือ 5 ปี แล้วแต่ตลาด ส่วนวงเงินที่ขอสินเชื่อจากแบงก์อยู่ที่ 30-40% ถือเป็นการบริหารจัดการป้องกันความเสี่ยง
u หลังวิกฤตการบริหารจัดการการเงินมีความสำคัญขึ้น
เพราะการเงินเป็นสิ่งสำคัญของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม แต่คีย์มันอยู่ที่ต้นทุนทางการเงินต้องถูก ข้อที่ 2 ทุกครั้งที่จะขยายธุรกิจต้องมีเงินพร้อมที่จะให้ขยายได้ตลอดเวลา ช่วง crisis มาถึงวันนี้ได้ปรู๊ฟแล้วว่าแต่ละบริษัทมีศักยภาพในการระดมทุนได้ไม่เท่ากัน เพราะมี performance ที่แตกต่างกัน
คิวเฮ้าส์เองในช่วงไครซิส ยอมรับว่าเป็นช่วงที่เหนื่อยมาก แต่เราก็สามารถเคลียร์กับเจ้าหนี้ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่คุ้มค่า และสองสิ่งที่เป็น commitment ที่ให้กับผู้ถือหุ้น เจ้าหนี้ ลูกค้า เราสามารถทำได้ตามที่พูดไว้ทั้งหมด นั่นเป็นสิ่งที่เราภาคภูมิใจมาก
u ที่ผ่านมาระดมทุนผ่านกองทุนรวมอสังหาฯ
ปลายปี 2549 เราออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QHPF) กล้าบอกได้เลยว่าเป็นฟันด์เดียวในประเทศที่มีผู้ถือหน่วยลงทุนที่เป็นคนไทยเยอะที่สุดถึง 85% ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ฝากเงินไว้กับธนาคาร
u แผนระยะยาวของคิวเฮ้าส์วางไว้อย่างไร
จะเพิ่มวงเงินกองทุนรวมอสังหาฯให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพราะเรายังมีตึกที่จะสามารถขายเข้าฟันด์ได้อีก เป็นเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ 3 โครงการ ส่วนอีก 2 โครงการเป็นออฟฟิศ ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ว่าชุดที่ 2 จะนำอย่างไหนเข้ากองทุน ช่วงแรกอาจจะแค่ 3 ก่อน มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท น่าจะเสร็จเรียบร้อยช่วงครึ่งปีแรกปี 2551
u ปีหน้าจะลงทุนพัฒนาโครงการกี่โปรเจ็กต์
มีแผนอยู่ในมือแล้ว แต่ยังไม่นิ่ง สำหรับโครงการแนวสูงอย่างน้อยคงหาซื้อที่ดินเพิ่มอีก 1-2 แปลงในเมือง เพราะโดยหลักแล้วตึกหนึ่งจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างอย่างน้อย 2 ปี ฉะนั้นถ้าปีหน้าเราทำคงต้องหาซื้อที่ดินก่อน เพราะระหว่างที่ซื้อมามันต้องใช้เวลาก่อสร้างหลายปี ดังนั้นเงินที่มีอยู่ก็อาจจะไปลงโครงการบ้านก่อนก็ได้ ส่วนโปรเจ็กต์แนวราบยังไปได้ดีมากทั้งโครงการระดับบนที่เป็นตลาดหลัก และตลาดระดับกลางซึ่งดำเนินการภายใต้แบรนด์คาซ่า
u แบรนด์คาซ่าเป็นอย่างไรบ้าง
ค่อนข้างได้รับการตอบรับที่ดีมาก ยอดขาย ยังเข้ามาต่อเนื่อง ปีนี้แบรนด์คาซ่าจะเจเนอเรตรายได้เป็น 45% ของรายได้รวม ปี 2551 แบรนด์คาซ่าจะเพิ่มสัดส่วนขึ้นเป็น 50% และบ้านไฮเอนด์อีก 50%
u บุกตลาดเซอร์วิสฯมากขึ้นด้วย
ตราบใดที่เศรษฐกิจของประเทศเติบโตและ นักลงทุนต่างชาติยังสนใจที่จะลงทุนในประเทศไทยเรื่อยๆ ธุรกิจนี้ก็อยู่ได้ เนื่องจากกลุ่มลูกค้า ที่เข้ามาพักส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจต่างชาติ ระยะเวลาเข้าพักตั้งแต่ 2 สัปดาห์ขึ้นไป
ส่วนที่มีอยู่ในตลาดอยู่แล้วขณะนี้ไม่น่าห่วง แม้จะแข่งขันกันรุนแรงขึ้นบ้าง เพราะถ้าเศรษฐกิจมีการเจริญเติบโต และกลุ่มเฮสแบ็กเข้ามาลงทุน เข้ามาทำงาน ดีมานด์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาจะ แอปซอฟต์ซัพพลายที่มีอยู่ลงได้ มีเพียงค่าเช่าเท่านั้นที่ไม่สามารถปรับได้
u ธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ของคิวเฮ้าส์
เราใช้แบรนด์ "เซ็นเตอร์พอยต์" เป็นแบรนด์ของคนไทยที่ใหญ่ที่สุด และเป็นลีดเดอร์ทางด้านนี้ ประกอบด้วย "แกรนด์เซ็นเตอร์พอยต์" เป็น พรีเมี่ยมแบรนด์ อัตราค่าเช่าประมาณ 1,300-1,400 บาท/ตร.ม. หรือประมาณ 6-7 หมื่นบาท และ "เซ็นเตอร์พอยต์" เป็นเกรดเอ
ปัจจุบันเราบริหารทั้งหมด 7 ตึก กำลังจะเพิ่มเข้ามาอีก 3 ตึก รวมแล้วประมาณ 2,000 ยูนิต หากอีก 2 ตึกสร้างเสร็จก็จะมีห้องพักใหม่เข้ามาอีก 1,000 ยูนิต รวมเบ็ดเสร็จ 3,000 ยูนิต
u สัดส่วนรายได้รวมของคิวเฮ้าส์
สัดส่วนรายได้จากค่าเช่าประมาณ 15% ของรายได้รวม 80-85% มาจากโครงการขายบ้าน อีก 1-2 ปีข้างหน้าสัดส่วนของการพัฒนาโครงการเพื่อขายจะเพิ่มขึ้น เพราะมันมีการเติบโตที่เร็วกว่า คิดว่ารายได้ค่าเช่าในปีหน้าจะอยู่ที่ 13% ที่เหลือ 87% มาจากการขาย
|
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 08-10-2550
|
|
|
|
|