Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
คิกออฟประกวด "บ้านติดฉลาก" ปลุกกระแสอนุรักษ์พลังงานรับโลกร้อน |
|
เคยได้ยินแต่แอร์เบอร์ 5 มาถึงวันนี้ยุควิกฤตโลกร้อน ประเทศไทยมีการจัดประกวดแนวใหม่ "โครงการติดฉลากบ้าน-อาคาร" หรือชื่อเป็นทางการว่า "โครงการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในอาคารโดยการติดฉลาก" จัดโดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) สังกัดกระทรวงพลังงาน เพิ่งจะคิกออฟโครงการเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี่เอง
งานนี้ รมต.พลังงาน "ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์" หมายมั่นจะปลุกปั้นโครงการติดฉลากบ้านและอาคารให้ประสบความสำเร็จ เหมือนกับที่เคยสำเร็จมาแล้วในโครงการติดฉลาดประหยัดไฟเบอร์ 5 บนสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า
13 บริษัทชื่อดังตอบรับร่วมโครงการ
ยังไม่ทันจะถึงวันเปิดตัวโครงการฟีดแบ็กดีเกินคาด มีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และเจ้าของอาคารสนใจส่งบ้านและอาคารเข้าร่วมโครงการแล้ว 13 บริษัท 20 โครงการ รวมประมาณ 900 หน่วย สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เกือบ 5 เท่า
อาทิ บริษัท เค.อี.แลนด์ จำกัด ส่งโครงการบ้านหรู "คริสตัลพาร์ค" และโครงการช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ "คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์" ย่านเอกมัย-รามอินทรา บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ส่งโครงการทาวน์เฮาส์ 200 ยูนิต กลุ่มเซ็นทรัลส่งอาคารศูนย์การค้าใหม่ 4 แห่งที่มีแผนเปิดตัว บริษัทสถาปนิก "เสาเอก" ส่งอาคารโชว์รูมฮอนด้า และสาขาย่อยแบงก์กรุงไทย ฯลฯ
กระบวนการพิจารณามี 3 ขั้นตอนคือ 1) ให้คำปรึกษาแนะนำการออกแบบ 2) ติดตามตรวจสอบระหว่างการก่อสร้าง 3) ตรวจสอบค่าการประหยัดพลังงานหลังก่อสร้างแล้วเสร็จเพื่อออกฉลาก แบ่งฉลากเป็น 3 สีคือ สีทองแดง (ระดับดี) สีเงิน (ระดับดีมาก) และสีทอง (ระดับดีเด่น)
วิธีการให้คะแนนแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มที่อยู่อาศัย และกลุ่มอาคารสาธารณะ ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มจะต้องผ่านเกณฑ์ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นก่อน จึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการประเมินคะแนนการประหยัดพลังงาน
แบ่งเกณฑ์ที่อยู่อาศัย-อาคารสาธารณะ
โดยในกลุ่ม "ที่อยู่อาศัย" มีเกณฑ์ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม 5 ข้อ ประกอบด้วย 1) ไม่ใช้สารซีเอฟซี (สารทำความเย็นในเครื่องปรับอากาศ) 2) ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 25 วัตต์ต่อตารางเมตร 3) มีระบบบำบัดน้ำเสีย บ่อดักขยะ และบ่อดักไขมัน 4) มีแผนป้องกันมลพิษและสิ่งรบกวนจากการก่อสร้าง และ 5) ใช้สีหรือสารเคลือบผิวที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย
ส่วนกลุ่ม "อาคารสาธารณะ" มีทั้งหมด 6 ข้อ ประกอบด้วย 1) ใช้สารทำความเย็นน้อย 2) ผ่านเกณฑ์การนำอากาศบริสุทธิ์เข้าอากาศขั้นต่ำ 3) ผ่านเกณฑ์ค่าความส่องสว่างขั้นต่ำ 4) มีระบบบำบัดน้ำเสีย บ่อดักขยะ และบ่อดักไขมัน 5) มีแผนป้องกันมลพิษและสิ่งรบกวนจากการก่อสร้าง และ 6) ใช้สีหรือสารเคลือบผิวที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย
หลังจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนประเมินคะแนน 9 หัวข้อ ได้แก่ 1) สถานที่ตั้งโครงการ เช่น สามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเท่ากับช่วยลดการใช้น้ำมัน 2) ผังและงานภูมิสถาปัตยกรรม (การออกแบบอาคาร) 3) ระบบเปลือกอาคาร (การใช้วัสดุปิดผิว) 4) ระบบปรับอากาศ 5) ระบบไฟฟ้าและแสงสว่าง 6) ระบบธรรมชาติและพลังงานทดแทน 7) ระบบสุขาภิบาล 8) วัสดุและการก่อสร้าง และ 9) เทคนิคการออกแบบ การประหยัดพลังงาน/รักษาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสิ้น 100 คะแนน ทั้งนี้ อาคารในกลุ่ม "ที่อยู่อาศัย" ฉลากสีทองแดงต้องได้คะแนน 45-59 คะแนน ฉลากสีเงิน 60-74 คะแนน และฉลากสีทอง 75-100 คะแนน ส่วนในกลุ่ม "อาคารสาธารณะ" ฉลากสีทองแดงต้องได้คะแนน 40-55 คะแนน ฉลากสีเงิน 55-69 คะแนน และฉลากสีทอง 70-100 คะแนน
ชี้ต้นทุนสร้างบ้านเพิ่ม 1-3%
สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการนี้ ส่วนใหญ่มองว่าการติดฉลากน่าจะช่วยสร้าง "จุดขาย" ให้กับโครงการได้ คล้ายๆ กับการซื้อแอร์ ที่ต้องเลือกเบอร์ 5 โดย "สุนทร สถาพร" กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฉลิมนคร จำกัด ผู้พัฒนาโครงการ "บ้านสถาพร" สะท้อนความเห็นว่า การสร้างบ้านเดี่ยวขนาด 60-70 ตารางวา หากวางแผนให้เป็นบ้านประหยัดพลังงานแต่แรก อาทิ ใช้ฉนวนกันความร้อน ปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา จะมีต้นทุนค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้นจากปกติเพียง 1% แต่ถ้ามาเพิ่มเติมวัสดุภายหลังจากก่อสร้างบ้านแล้วเสร็จ จะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นเป็น 3%
ล่าสุดกระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการร่าง กฎกระทรวง "ข้อกำหนดการใช้พลังงานในอาคารที่จะขออนุญาตก่อสร้างใหม่ 1" (building code) กับอาคารที่ขออนุญาตก่อสร้างใหม่หรือขออนุญาตปรับปรุงอาคาร มี 5 ส่วนคือ 1) ข้อกำหนดพลังงานความร้อนที่ถ่ายเทผ่านเข้าตัวอาคาร ได้แก่ "อาคารสำนักงาน-สถานศึกษา" มีค่าพลังงานความร้อนถ่ายเทเข้าผนังอาคารได้ไม่เกิน 50 วัตต์ต่อตรม. และ ผ่านหลังอาคารได้ไม่เกิน 15 วัตต์ต่อตารางเมตร
"ห้างสรรพสินค้า-ร้านค้าย่อย-ศูนย์การค้า-ซูเปอร์สโตร์" มีค่าพลังงานความร้อนถ่ายเทฯ ได้ไม่เกิน 40 วัตต์ต่อตร.ม. และผ่านหลังอาคารได้ไม่เกิน 12 วัตต์ต่อตร.ม. "โรงแรม-โรงพยาบาล-สถานพักฟื้น" มีค่าพลังงานความร้อนถ่ายเทฯ ได้ไม่เกิน 30 วัตต์ต่อตร.ม. และผ่านหลังอาคารได้ ไม่เกิน 10 วัตต์ต่อตร.ม.
2) ข้อกำหนดไฟฟ้าส่องสว่างในอาคาร ได้แก่ "สำนักงาน-สถานศึกษา" มีค่าส่องสว่างสูงสุด 14 วัตต์ต่อตร.ม. "โรงแรม-โรงพยาบาล-สถาน พักฟื้น" 12 วัตต์ต่อตร.ม. และ "ร้านค้าย่อย- ห้างสรรพสินค้า-ศูนย์การค้า-ซูเปอร์สโตร์" 18 วัตต์ต่อตร.ม.
3) ข้อกำหนดมาตรฐานระบบปรับอากาศ แยกเป็นมาตรฐานระบบปรับอากาศขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ และระบบปรับอากาศแบบเครื่องน้ำเย็นแบบดูดกลืน 4) ข้อกำหนดมาตรฐานอุปกรณ์น้ำร้อน (กำหนดประสิทธิภาพขั้นต่ำและ ค่าสัมประสิทธิ์สมรรถนะขั้นต่ำ) แยกเป็น เครื่องทำน้ำร้อนแบบน้ำผ่าน แบบชนิดฮีตปั๊ม และ 5) ข้อกำหนดค่าการใช้พลังงานอาคารโดยรวม
หลังจากร่างกฎกระทรวงแล้วเสร็จจะเสนอต่อคณะกรรมการพลังงานแห่งชาติ จากนั้นจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี กฤษฎีกา และคณะรัฐมนตรี ตามลำดับ ก่อนจะประกาศใช้ คาดว่าจะใช้เวลาอีกไม่เกิน 6 เดือนนับจากนี้
|
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 20-09-2550
|
|
|
|
|