|
Link
to us!!!
|
| ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
|
| "วิไลลักษณ์" ปรับพอร์ต รุกลงทุนตลาดเช่าอสังหาฯ |
|
รายงาน
ไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้เห็น "วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์" ปรากฏกายให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนสายอสังหาริมทรัพย์ แม้ว่าโดยตำแหน่งแล้วเขาคือเอ็มดีบริษัทพัฒนาที่ดินค่าย "วิไลลักษณ์ ดีเวลลอปเมนท์"
เหตุผลอาจเป็นเพราะที่ผ่านมาบทบาทแม่ทัพใหญ่ธุรกิจโทรคมนาคมและเทคโนโลยีการสื่อสารค่าย "สามารถ คอร์ปอเรชั่น" เป็นภาพที่เด่นชัดและคนส่วนใหญ่จะคุ้นเคยมากกว่า
การเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในฐานะคีย์แมนหลักธุรกิจอสังหาฯ ในกลุ่มสามารถ คอร์ปอเรชั่นฯ ของ "วัฒน์ชัย" ล่าสุดเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาจึงน่าจะมี นัยสำคัญอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะเกี่ยวกับทิศทางการลงทุนของกลุ่มวิไลลักษณ์ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นหลักในบริษัทพัฒนาที่ดินในเครือทั้ง 2 แห่ง คือ บริษัท วิไลลักษณ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ที่เน้นการลงทุนในธุรกิจที่สร้างรายได้ระยะยาว และ บริษัท วิไลลักษณ์ พร็อพเพอร์เตอร์ จำกัด ที่เน้นการลงทุนพัฒนาโครงการเพื่อขาย
ธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับตระกูล วิไลลักษณ์เป็นอันดับ 2 รองจากธุรกิจหลักด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร
ดูเหมือนว่าธุรกิจอสังหาฯ จะเป็นธุรกิจที่ตระกูลวิไลลักษณ์ให้ความสำคัญเป็นอันดับที่ 2 รองจากธุรกิจหลักด้านเทคโนโลยีสื่อสาร และมีเป้าหมายที่จะปังธงรบ โดยอาศัยข้อได้เปรียบด้านแหล่งเงินทุนและแลนด์แบงก์จำนวนมากที่มีอยู่ในมือ พอที่จะรองรับการพัฒนาโครงการได้หลายรูปแบบ
"ภายในปีหน้ารายได้จากธุรกิจอสังหาฯ จะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20-30% ส่วนใหญ่เป็นรายได้ที่มาจากโครงการให้เช่า"
"วัฒน์ชัย" บอกว่า แนวทางการพัฒนาโครงการในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาของบริษัทพัฒนาที่ดินในเครือ เน้นไปที่การพัฒนาโครงการเพื่อขายเป็นส่วนใหญ่ ผลงานชิ้นโบแดงคือบ้านหรูแบรนด์ บ้าน ณ อุทยาน ย่านพุทธมณฑล ซึ่งเมื่อต้องเผชิญกับภาวะตลาดที่ชะลอตัว ทำให้ยอดขายวิ่งช้ากว่าที่ควรจะเป็น
กลุ่มวิไลลักษณ์จึงต้องขยับตัวปรับทิศทางการลงทุนในพอร์ตอสังหาฯใหม่ โดยเน้นไปที่การพัฒนาโครงการที่สร้างรายได้ระยะยาว ล้อไปกับแผนบูมธุรกิจการท่องเที่ยวของภาครัฐ เพราะเชื่อว่าน่าจะเป็น "โมเดล" ที่ทำให้บริษัทมีรายรับเข้ามาต่อเนื่อง และสามารถหล่อเลี้ยงองค์กรได้แม้ในภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่
"จากนี้ไปนโยบายการลงทุนในอสังหาฯ ของกลุ่มจะเน้นไปที่ธุรกิจเช่าเพื่อสร้างรายได้ระยะยาวเข้ามาต่อเนื่อง และลดบทบาทการพัฒนาโครงการเพื่อขายลง จะเห็นว่าในระยะ 1-2 ปีที่ผ่านมาเราไม่ขยายโครงการเพื่อขายเพิ่มขึ้นเลย" "วัฒน์ชัย" แจกจงพร้อมบอกว่า
ที่ผ่านมากลุ่มวิไลลักษณ์ได้ลงทุนพัฒนาโครงการเพื่อสร้างรายได้ระยะมาแล้ว 2 โครงการ คือ โครงการอังกอร์ เนชั่นแนล มิวเซียม (Angkor National Museum) พิพิธภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบแห่งแรกและแห่งเดียวในจังหวัดเสียมเรียบ ซึ่งที่ตั้งของหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกนครวัดและนครธม ในประเทศกัมพูชา มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท
นับเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 30 ไร่ โดดเด่นด้วยการนำเสนอวัตถุโบราณและเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของชนชาติกัมพูชาในรูปแบบ Interactive ผ่านสื่อผสมที่หลากหลาย
จุดเริ่มต้นของการเข้าไปลงทุนพัฒนาพิพิธภัณฑ์ในกัมพูชา เกิดขึ้นหลังจากที่กลุ่มวิไลลักษณ์ประสบความสำเร็จในการเข้าไปทำตลาดธุรกิจโทรคมนาคม โดยโครงการดังกล่าวมีแผนที่จะเปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายนนี้
"เรายังมีที่ดินเหลืออยู่ที่นั่นอีกประมาณ 10 ไร่ ในอนาคตมีความเป็นไปได้ว่าจะพัฒนาเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวในรูปแบบยูนิค รองรับนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น"
อีกโปรเจ็กต์เป็นโครงการที่พัฒนาใน รูปแบบผสมผสาน ที่มีทั้งการพัฒนาเพื่อขายและให้เช่า ภายใต้ชื่อ "ภูผาธารา" ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 58 ไร่ ใกล้หาดแม่พิมพ์ จังหวัดระยอง ภายในโครงการประกอบด้วย บ้านเดี่ยวริมหาดประมาณ 20 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 10-40 ล้านบาท, คอนโดมิเนียม 199 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.8-10 ล้านบาท และโรงแรมระดับ 5 ดาว 200 ห้องพัก ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับเชนต่างชาติที่จะเข้ามาบริหาร
"วัฒน์ชัย" ทิ้งท้ายว่า ในอนาคตมีความเป็นไปได้ว่ากลุ่มวิไลลักษณ์ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง จะนำบริษัทลูกที่ดำเนินธุรกิจด้านอสังหาฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือไม่ก็อาจจะขายโครงการเข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เพื่อระดมเงินทุนมาขยายกิจการสร้างการเติบโตให้กับกลุ่ม
โดยเฉพาะการระดมทุนแบบกองทุนรวมอสังหาฯ เป็นสิ่งที่กลุ่มวิไลลักษณ์ ให้ความสนใจมากที่สุด เพราะเป็นแนวทางที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน แต่กว่าจะทำอย่างที่ตั้งใจไว้ได้คงต้องรอดูผลประกอบการของโรงแรมทั้ง 2 แห่งที่มีแผนจะเปิดให้บริการปลายปีนี้
หากสำเร็จเท่ากับว่าบริษัทพัฒนาที่ดินภายใต้ร่มชายคา "วิไลลักษณ์" จะเป็น ผู้เล่นหลักอีกรายที่เข้ากระโดดเข้ามาแจมเค้กในตลาด หลังจากระดับบิ๊กและตระกูลดังหลายตระกูลทยอยเปิดตัวไปแล้ว
|
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 20-09-2550
|
|
|
|
|
