| freesplans.com | ศูนย์รวมแบบบ้าน และ ตกแต่ง หลากหลายสไตล์
ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป
: : g o  t o  m a i n p a g e : :
สถาปัตยกรรม | ตกแต่งภายใน | ดีไซน์-แกลอรี่ | แบบบ้านสวย | แนะนำ-ติชม | ถาม-ตอบ เรื่องบ้าน | ติดต่อเรา 
ขณะนี้มีผู้ชมอยู่ 62 ท่าน 
FreeSplanS MENU
Profession Search
+ งานสถาปัตยกรรม
+ งานวิศวกรรม
+ งานรับเหมาก่อสร้าง
+ งานรับเหมาเฉพาะด้าน
+ งานออกแบบ
+ งานอสังหาริมทรัพย์
+ งานบริการอาคาร
C a l c u l a t o r . . .
+ คำนวณปริมาณคอนกรีต
+ คำนวณปริมาณการใช้สี
+ คำนวณปริมาณกระเบี้องปูพื้นและผนัง
+ คำนวณปริมาณวอลเปเปอร์
+ คำนวณปริมาณ BTU แอร์
D o w n l o a d s . . .
+ Agreement & Forms
+ Program Utilities
+ Windows Font

 

Link to us!!!
Link to US!!!






ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง
 
กด Like เป็นกำลังใจให้เว็บด้วยนะค่ะ
| ข่าวทั้งหมด |

 fp 10-09-2550    อ่าน 11403
 อดีตบิ๊กแกรนด์แอสเสทฯ ปั้น "เอเพ็กซ์ฯ" หวนคืนวงการอสังหาฯ

รายงาน



เงียบหายไปไม่นาน หลังจากขายหุ้นบริษัทพัฒนาที่ดินในตลาดหลักทรัพย์ฯ "แกรนด์แอสเสท ดีเวลลอปเมนท์" ให้กับกลุ่มทุนต่างชาติ "เลห์แมนบราเธอร์ฯ" ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา "พงษ์พันธ์ สัมภาวคุปต์" อดีตบิ๊ก "แกรนด์แอสเสทฯ" ก็หวนคืนวงการอสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง

โดยเหตุผลลึกๆ ของการตัดใจขายหุ้นใน บมจ.แกรนด์แอสเสทฯ ทั้งที่มีโครงการอยู่ในมือมากมาย อาทิ โรงแรมเวสทิน (สุขุมวิท) โครงการเดอะเทรนดี้ พลาซ่า (สุขุมวิท 13) ฯลฯ ว่ากันว่ามาจากแนวคิดการบริหารงานที่ไม่ตรงกันกับผู้ถือหุ้นใหม่ต่างชาติที่เข้ามาในขณะนั้น

กระทั่งล่าสุดชื่อของ "พงษ์พันธ์" เป็นข่าวขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยการเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน บมจ.ซันเทคกรุ๊ป ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสับประรดกระป๋อง จำนวน 836 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 94 สตางค์ รวมมูลค่า 785.84 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 78% ของมูลค่าหุ้นทั้งหมด ทำให้เขากลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของซันเทคกรุ๊ปในทันที

โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การหวนกลับคืนสู่วงการธุรกิจอสังหาฯอีกครั้ง

ภายใต้การบริหารของ "พงษ์พันธ์" ในฐานะประธานกรรมการบริหารและประธานบริหารคนใหม่ของ บมจ.ซันเทคกรุ๊ป ได้เปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น "เอเพ็กซ์ ดีเวลลอปเม้นท์" มีสัญลักษณ์เป็นรูปพีระมิดสีฟ้า พร้อมแจ้งเปลี่ยนประเภทการทำธุรกิจจากหมวดอุตสาหกรรมมาเป็นอสังหาริมทรัพย์

เหตุผลที่เป็นซันเทคกรุ๊ปแทนที่จะปั้นบริษัทใหม่ขึ้นมานั้นมี 2 ส่วน คือ 1) ซันเทคกรุ๊ปเป็นบริษัทที่มีงบการเงินโปร่งใส แม้ที่ผ่านมาจะมีผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่อง 2) กลุ่มผู้ถือเดิมมีความตั้งใจแต่แรกว่าจะเปลี่ยนประเภทการทำธุรกิจมาเป็นหมวดอสังหาฯ ซึ่งน่าจะทำกำไรได้ดีกว่า

การกลับมาครั้งนี้ ผู้บริหารของเอเพ็กซ์ ดีเวลลอปเม้นท์ วางเป้าหมายการพัฒนาโครงการไว้ 2 รูปแบบ คือ การพัฒนาโครงการระยะสั้นในรูปแบบโครงการคอนโดมิเนียม รีสอร์ต และ การพัฒนาโครงการระยะยาวในรูปแบบของเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์

แผนพัฒนาโครงการแรกที่วางไว้มีความชัดเจนแล้ว โดยเอเพ็กซ์ฯจะเปิดตัวด้วยโครงการ "ไวต์ แซนด์ บีช" (White Sand Beach) บนที่ดินติดหาดจอมเทียน (ชลบุรี) ขนาด 56 ไร่ ใกล้กับโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ และโครงการ โอเชี่ยนมารีน่า ซึ่งเป็นที่ดินที่ซื้อเข้ามาใหม่ในราคากว่า 800 ล้านบาท

ถือเป็นโครงการยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่าโครงการสูงถึง 6,300 ล้านบาท

มาสเตอร์แปลนที่วางไว้ภายใต้เงื่อนไขการใช้ประโยชน์ที่ค่อนข้างเปิดกว้าง เนื่องจากอยู่ในโซนที่สามารถก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ได้จากระยะถอยร่นแนวเขตที่ดินริมทะเลเพียง 12 เมตร บนที่ขนาด 56 ไร่ จึงมีทั้งโครงการคอนโดมิเนียมและโรงแรมระดับ 5 ดาว

สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมแบ่งแยกออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกฝั่งติดทะเลเป็นคอนโดฯ แบบโลว์ไรส์ 2 อาคาร

คือ North Tower สูง 42 ชั้น และ South Tower สูง 45 ชั้น รวม 303 ยูนิต (ขนาด 1-3 ห้องนอน) ราคาเฉลี่ย 9.5 หมื่นบาทต่อตารางเมตร ส่วนที่สองเป็นคอนโดฯแบบโลว์ไรส์ จำนวน 10 อาคาร รวม 240 ยูนิต (ขนาด 2 ห้องนอน) ออกแบบในสไตล์ลากูน มีสระว่ายน้ำล้อมรอบยาวไปจนถึงชายหาดด้านใน ราคาเฉลี่ย 7.5 หมื่นบาทต่อตารางเมตร

ส่วนโครงการโรงแรม 5 ดาว ได้เซ็นสัญญากับ "Movenpick" เชนโรงแรมจากสวิตเซอร์แลนด์เข้ามาบริหาร รูปแบบเป็นโรงแรมขนาด 300 ห้อง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ห้องประชุม ห้องจัดเลี้ยง บิสซิเนสเซ็นเตอร์ สปา

โดยวางแผนเปิดการขายโครงการคอนโดฯตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป และเริ่มการก่อสร้างภายในเดือนมกราคม 2551 สำหรับคอนโดฯ (โลว์ไรส์ 2 อาคาร) และโรงแรม กำหนดแล้วเสร็จเดือนมกราคม 2554 ส่วน คอนโดฯ (โลว์ไรส์ 10 อาคาร) กำหนดแล้วเสร็จเดือนมกราคม 2553

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายเบื้องต้นที่จะต้องเร่งทำนอกจากการเปิดตัวโครงการ คือ การทำให้ เอเพ็กซ์ฯกลับมาเป็นบริษัทที่มีกำไรและเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯได้อีกครั้ง

ที่ผ่านมาเอเพ็กซ์ฯมีผลขาดทุนสะสมอยู่เกือบ 1,900 ล้านบาท แนวทางที่วางไว้คือจะแตกพาร์จากหุ้นละ 10 บาท เหลือหุ้นละ 1 บาท พร้อมกับลดทุนจดทะเบียนจาก 1.3 หมื่นล้านบาท เหลือ 1,300 ล้านบาท เพื่อนำส่วนต่างการลดทุนจดทะเบียนมาล้างขาดทุนสะสม

โดยตั้งเป้าว่าภายในช่วงกลางปีหน้าหรืออย่างช้าช่วงสิ้นปีบริษัทจะต้องกลับเข้ามาเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯได้

  
ที่มา
[ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 10-09-2550 

ค้นหาข่าวด้วยรหัส

รหัส








webmaster คลิกที่นี่

Copyright 2002 freesplans Design solution, Inc.