Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
จาก "กรุงเทพฯ" ถึง "ฮานอย" สานสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง |
|
ช่วงระหว่างวันที่ 22-24 สิงหาคมที่ ผ่านมา "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ไปเยือนกรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
ภารกิจครั้งนี้ เป้าหมายนอกจากจะเป็นการไปเยือนเมืองพี่เมืองน้องอย่าง "กรุงฮานอย" โดยมีการหารือกับประธานกรรมาธิการประชาชนกรุงฮานอย เกี่ยวกับกรอบความร่วมมือในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมด้านเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยวของกรุงเทพฯ เนื่องจากปัจจุบันกรุงฮานอยยังมีปัญหาเรื่องการพัฒนาเมือง การกระจุกตัวของเมือง และโรงแรมมีน้อย ไม่พอรองรับกับจำนวนประชากรที่มีอยู่ อีก 2-3 ปีจากนี้จะมีการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ เช่น ถนนวงแหวนรอบนอก รถไฟฟ้าใต้ดิน ฯลฯ
ซึ่ง กทม.จะเข้าร่วมงาน Hanoi Expo 2007 วันที่ 8-13 ตุลาคมนี้ จองพื้นที่ไว้ 10 บูท โดยเชิญผู้ประกอบการไทย เช่น สมาคมท่องเที่ยว สมาคมโรงแรม เป็นต้น เข้าร่วมจัดงานด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และสินค้าโอท็อป ภายในงาน กทม.จะเปิดตัวแคมเปญ "เสน่ห์กรุงเทพฯ" ให้คนฮานอยได้รู้จักในแง่มุมต่างๆ
มีการแลกเปลี่ยนการบริหารจัดการ มีการส่งเจ้าหน้าที่ของ กทม.และฮานอยมาแลกเปลี่ยนความคิดกันในเรื่องสิ่งแวดล้อม การจราจร สาธารณสุข การแลกเปลี่ยนด้านการศึกษา ช่วงที่ผ่านมา กทม.ได้ดำเนินการมาหลายประเทศแล้ว เช่น นักเรียนไทยกับนักเรียนญี่ปุ่น นักเรียนไทยกับนักเรียนเกาหลี เป็นต้น รวมทั้งนักเรียนไทยกับนักเรียนเวียดนาม ที่กำลังเป็นรูปเป็นร่างเนื่องจากประเทศเวียดนามให้ความสำคัญด้านการศึกษามาก
หนึ่งในไฮไลต์เยือนฮานอยครั้งนี้คือ รับเชิญเป็นผู้อภิปรายบนเวทีในการประชุม ASEAN 100 Leadership Forum 2007 หัวข้อ "ประเทศสามารถมีการบริหารงานตามแบบอย่างบริษัทได้หรือไม่" (Governance : Can a country be managed like a company ?)
"อภิรักษ์" เริ่มเปิดฉากว่า เมื่อครั้งที่ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในช่วงแรกนั้น คำถามที่มักจะถูกถามบ่อยครั้งก็คือ จะสามารถบริหารงานกรุงเทพมหานครได้อย่างที่เคยบริหารบริษัทเอกชนหรือไม่ เนื่องจากประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการบริหารงานบริษัทต่างๆ มาก่อนที่จะมาเป็นผู้ว่าฯ กทม.
"การจะทำให้ประเทศหรือองค์การภาครัฐบาลประสบความสำเร็จได้นั้น กุญแจสำคัญก็คือ การให้บริการสาธารณชนด้วยการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพเหมือนอย่างที่หน่วยงาน ภาคธุรกิจสามารถทำได้"
โดยต้องมี 1.การพัฒนาองค์การโดยการมีทิศทางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน โดยเฉพาะแผนระยะยาว ที่องค์การนำไปใช้ได้จริง 2.การสร้างความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ด้วยการคิดนอกกรอบและการทำงานอย่างจริงจัง
3.การพัฒนาการให้บริการ ด้วยการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพของบุคลากรในองค์การ วิสัยทัศน์ กทม.มีจุดมุ่งหมายที่จะเป็นสถานที่แรกที่ประชาชนจะนึกถึง เมื่อต้องการข้อมูลหรือความช่วยเหลือ และเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดแก่ประชาชนในการรับบริการเรื่องต่างๆ ขณะนี้ กทม.ได้ดำเนินโครงการในการให้บริการประชาชน เช่น โครงการ call center 1555 โครงการ BEST (Bangkok emergency service team) โครงการการให้บริการจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (one stop service) เป็นต้น
4.การสร้างแรงจูงใจและแรงกระตุ้นในการดำเนินงานของบุคลากรในองค์การ เพื่อให้เกิดผลผลิตในการทำงานที่มีประสิทธิภาพและเป็น รูปธรรม
"หากองค์การภาครัฐสามารถดำเนินงานได้ตามหลักนี้แล้ว ประเทศก็จะสามารถบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล หรือ good governance ได้ เพื่อให้ประชาชนในประเทศใช้ชีวิตอย่างมี ความสุข" นายอภิรักษ์กล่าว และว่า
ประเด็นแรกที่ต้องพิจารณา คือ ต้องรู้ว่าประเทศหรือรัฐบาลนั้นๆ มีรูปแบบการดำเนินงาน มีสังคมและความร่วมมืออย่างไร เช่น กรุงเทพ มหานคร มีความมุ่งหมายที่จะเป็นศูนย์กลางสากลของการลงทุนและการอยู่อาศัย ฉะนั้น ความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานครจึงต้องมีรูปแบบที่ใหญ่ขึ้น กว้างขึ้น และมีความร่วมมือระหว่างประเทศมากขึ้นตามไปด้วย
เห็นได้จากที่กรุงเทพมหานครมีการสร้างความสัมพันธ์ระดับเมืองในลักษณะของบ้านพี่เมืองน้อง (sister cities) เพื่อที่จะสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์และการดำเนินงานที่เป็นเลิศ (best practices) และนำมาประยุกต์ใช้กับกรุงเทพมหานครอย่างเหมาะสม
"อภิรักษ์" ขยายผลความหมายการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาลจะต้องประกอบด้วย 3 ภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐบาล ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในการดำเนินงานร่วมกันที่จะช่วยให้ประเทศหรือรัฐบาลมีการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส (transparency) และเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของประชาชนให้สูงขึ้น
ก่อนจะสรุปส่งท้ายว่า หากจะตอบคำถามที่ว่า ประเทศสามารถมีการบริหารงานตามแบบอย่างบริษัทได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าประเทศหรือ รัฐบาลนั้นๆ จะสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งจากผู้นำทางธุรกิจ เมือง ประเทศ รวมถึงความร่วมมือในระดับสากล อย่างเช่น สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน (ASEAN) ได้มากน้อยเพียงใดนั่นเอง
|
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 30-08-2550
|
|
|
|
|