|
Link
to us!!!
|
| ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
|
| จับตาดีลยักษ์วงการสี "อัคโซ โนเบล" เทกโอเวอร์ "ไอซีไอ" |
|
นับเป็นอีกหนึ่งดีลยักษ์ใหญ่ของวงการวัสดุ สำหรับการเจรจาขายหุ้นทั้งหมดของ "อิมพีเรียล เคมีคัล อินดัสตรีส์" หรือ "ไอซีไอ" ของประเทศอังกฤษ หนึ่งในผู้ผลิตสีทาอาคารชั้นนำที่ครองส่วนแบ่งการตลาดสีทาอาคารในประเทศไทยเป็นอันดับ 2 รองจากสีทีโอเอ
ล่าสุด สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ไอซีไอได้ตัดสินใจรับข้อเสนอเบื้องต้นในการเทกโอเวอร์ มูลค่าสูงถึง 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ จากบริษัท คู่แข่งสัญชาติเนเธอร์แลนด์ "อัคโซ โนเบล" (Akzo Nobel) หลังจากใช้เวลาเจรจานาน 2 เดือน
เท่ากับเป็นการปิดตำนานของไอซีไอภายใต้การบริหารของผู้ก่อตั้งชาวอังกฤษที่มีอายุยาวนานกว่า 80 ปี นับตั้งแต่มีการควบรวมกิจการของบริษัทเคมิคอล 4 แห่ง เมื่อปี 2469
การเจรจาครั้งนี้อัคโซฯเสนอซื้อหุ้นของไอซีไอในราคาหุ้นละ 13.54 ดอลลาร์ สูงกว่าราคาปิดในตลาดหลักทรัพย์ปัจจุบันที่ 12.92 ดอลลาร์ โดยแหล่งเงินที่ใช้ในการเทกโอเวอร์เกือบทั้งหมดจะมาจากการขายกลุ่มธุรกิจยาในบริษัทออร์กานอน ไบโอไซน์ส ให้แก่ "เชอร์ริ่ง-โพล" ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้
เพราะอัคโซฯซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ "คราวน์ เพนต์" (Crown Paints) ต้องการจะรวมธุรกิจสีทาบ้านของไอซีไอเข้ากับธุรกิจของตัวเอง ผลที่ตามมาคือช่วยให้บริษัทประหยัดต้นทุนไปได้ถึง 189 ล้านปอนด์
อัคโซฯยังวางแผนที่จะตัดขายธุรกิจกาวและวัสดุอิเล็กทรอนิกส์ ที่พ่วงติดมากับการซื้อกิจการไอซีไอ คิดเป็นมูลค่า 5.4 พันล้านดอลลาร์ ในเบื้องต้น "เฮนเคล" บริษัทจากประเทศเยอรมนี ได้ลงนามในข้อตกลง เพื่อจะซื้อธุรกิจทั้ง 2 ของไอซีไอต่อจากอัคโซฯแล้ว
โดยการควบรวมกิจการครั้งนี้จะสร้างบริษัทผลิตสารเคมีและสีเคลือบชั้นนำของโลก และเข้าถึงตลาดต่างๆ ทั้งตลาดในประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนาแถบเอเชีย-แปซิฟิก อาทิ จีน ฯลฯ
อย่างไรก็ตามดีลนี้ยังต้องผ่านการอนุมัติจากเสียงของกลุ่มผู้ถือหุ้นของทั้ง 2 บริษัท ซึ่งจะประชุมหารือกันอีกครั้งภายในเดือนตุลาคมนี้ อย่างไรก็ตามมีการวิเคราะห์กันว่าอัคโซฯมีวิธีสร้างรายได้เพิ่มด้วยความเสี่ยงที่ต่ำกว่าการซื้อกิจการของไอซีไอ โดยก่อนหน้านี้บอร์ดบริหารของไอซีไอปฏิเสธข้อเสนอของอัคโซฯมาแล้ว
2 ครั้ง เนื่องจากให้ราคาต่ำกว่าที่ต้องการ
แต่กรณีที่มีการควบรวมขึ้นจริง อาจเป็นไปได้ว่าจะต้องมีการปรับลดพนักงานของทั้ง 2 บริษัท ลง โดยเฉพาะในส่วนของผู้บริหารระดับบน ฝ่ายธุรการ และฝ่ายขาย
ชี้ได้ผู้ถือหุ้นใหม่ช่วยเพิ่มอำนาจต่อรอง
แหล่งข่าวจากวงการผู้ผลิตสีรายหนึ่งให้ความเห็นว่า การซื้อขายหุ้นหรือเทกโอเวอร์กิจการของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกในปัจจุบันถือเป็น เรื่องปกติ ตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้ "อเมริกันสแตนดาร์ด" ได้ขายกิจการให้กับ "Bain Capital" จากประเทศอเมริกาที่ทำธุรกิจเข้าไปลงทุนในบริษัทต่างๆ
อย่างไรก็ตามกรณีการขายกิจการของไอซีไอยอมรับว่าค่อนข้างน่าแปลกใจ เพราะสีเป็นธุรกิจมีกรอสมาร์จิ้นสูงกว่า 50% แต่ถ้าดูจากมูลค่าซื้อขายที่สูงถึง 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.2 แสนล้านบาท) ถือว่าไอซีไอได้กำไรไปไม่น้อยจากดีลครั้งนี้
ผลที่จะเกิดขึ้นกับ "สีไอซีไอ" ในประเทศไทย คาดว่าจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงการทำตลาด แต่สิ่งที่ไอซีไอและอัคโซโนเบลได้รับคือต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง อาทิ การสั่งซื้อวัตถุดิบในราคาถูกลง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำลง รวมถึงการเพิ่มอำนาจต่อรองในด้านต่างๆ เมื่อมีวอลุ่มการผลิตใหญ่ขึ้น เพราะทั้ง 2 บริษัทต่างก็มีผู้ผลิตสีระดับโลก โดย 3-4 ปีที่ผ่านมาไอซีไอถือเป็นผู้ผลิตสีอันดับ 2 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ในยุโรป
ส่วนการนำแบรนด์ "คราวน์ เพนต์" เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยนั้นต้องรอดู แต่เบื้องต้นมองว่าอาจไม่คุ้มกับงบฯสร้างบ้าน เพราะปัจจุบันไอซีไอมีแบรนด์สีที่วางจำหน่ายอยู่ถึง 5 แบรนด์ เรียกว่าค่อนข้างหลากหลายอยู่แล้ว
เกจิประเมินว่า การเทกโอเวอร์กิจการครั้งนี้
จึงน่าจะเป็นการเพิ่มศักยภาพเป็นหลัก ดังนั้นในระยะต้นๆ นี้คาดว่าจะยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ในเชิงการตลาดของไอซีไอในเมืองไทยและประเทศอื่นๆ
|
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 27-08-2550
|
|
|
|
|
