Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
หลากมุมมองอสังหาฯ ปั่นหุ้น-เก็งกำไรค่าบาท |
|
สถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมออกอาการน่าห่วง หลังทุนต่างชาติทุนไทยแห่เก็งกำไรตลาดหุ้นและค่าเงินบาทต่อเนื่อง จนหลายคนหวั่นจะซ้ำรอยวิกฤตเศรษฐกิจ ในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แม้ยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ผู้ประกอบการต่างจับตามองความเคลื่อนไหวไม่กะพริบ และนี่คือบางส่วนของมุมมองที่ดีเวลอปเปอร์วิเคราะห์และคาดการณ์แนวโน้ม
ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค มองว่าการที่หุ้นทะยานขึ้นในช่วงนี้น่าจะมาจาก 2 ส่วน คือ 1)ตลาดหุ้นไทยราคาต่ำมากเมื่อเทียบกับหลายประเทศ โดยเฉพาะแถบเอเชีย และ 2)นักลงทุนจากประเทศอเมริกาและจีน มีความกังวลว่าเศรษฐกิจในประเทศจะเกิด ภาวะฟองสบู่แตก จึงขนเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นในแถบเอเชียจำนวนมากในช่วงนี้ สังเกตได้จากไม่ใช่เฉพาะไทยเท่านั้นที่ดัชนีหุ้นปรับขึ้นเท่านั้น
ส่วนกรณีเงินบาทแข็งค่าขึ้นจนทำให้โรงงานส่งออกต้องปิดกิจการ
นั้นเป็นสัญญาณที่สภาอุตสาหกรรมแจ้งมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว และเชื่อว่ายังมีอีกหลายโรงงานที่อาจจะต้องปิดตัวลง หากว่าเงินบาทยังแข็งค่าเพิ่มขึ้นอีกจากปี 2549 ค่าเงินอยู่ที่ 38 บาท/ดอลลาร์ ปัจจุบันแข็งค่าขึ้นมาที่ 33-34 บาท/ดอลลาร์ ทำให้โรงงานส่งออกมีรายได้ลดลงอย่างมาก ดังนั้นแบงก์ชาติควรมีมาตรการที่ชัดเจนออกมาแก้ไข เช่น ในประเทศมาเลเซียและจีน ให้วิธีกำหนดอัตราค่าแลกเปลี่ยนตายตัว แม้จะเป็นวิธีที่บางคนมองว่า ล้าสมัยแต่ก็ได้ผลดี
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการปิดโรงงานส่งออก และมีคนตกงาน จะไม่มีผลกระทบกับภาพรวมธุรกิจอสังหาฯมากนัก หลักๆ อาจมีผลกระทบบ้างกับตลาดบ้านเช่า หรือทาวน์เฮาส์ คอนโดฯ ราคาถูกไม่เกิน 1 ล้านบาท ส่วนการยื่นขอสินเชื่อซื้อบ้านแบงก์ไม่น่าจะเข้มงวดมากขึ้น เนื่องจากช่วง 2 ปีที่ผ่านมาแบงก์ได้เพิ่มระดับความเข้มงวดขึ้นมากอยู่แล้ว
ด้าน "วิษณุ สุชาติล้ำพงศ์" รองกรรมการ
ผู้จัดการ บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ ให้ความเห็นว่า โดยมองในเชิงบวกเช่นเดียวกันว่า ยังเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และคิดว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นและค่าเงินบาทที่เกิดขึ้นขณะนี้กระทบธุรกิจอสังหาฯน้อย
"วิทวัส พรกุล" ประธานกรรมการ บมจ.ดีคอนโปรดักส์ และนายกสมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์คอนกรีตไทย ให้ความเห็นว่า จากสถานการณ์
ในตลาดหลักทรัพย์ฯซึ่งน่าเชื่อว่าเป็นการปั่นหุ้นรวมถึงโรงงานส่งออกที่ประกาศปิดโรงงานและ ลอยแพพนักงานจำนวน 6,000 คน ถือเป็น สัญญาณที่ไม่ดีกับภาพรวมเศรษฐกิจ และมีความเห็นว่าเศรษฐกิจในขณะนี้คงมีแต่ "ทรง" กับ "ทรุด" จนกว่าจะมีการเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่เข้า มาบริหารประเทศ อย่างไรก็ตาม กว่าที่นโยบายต่างๆ ของรัฐบาลชุดใหม่จะเห็นผลและทำให้เศรษฐกิจกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง ก็คงต้องรอจนถึงช่วงต้นปี 2552
สำหรับธุรกิจวัสดุก่อสร้างในขณะนี้คงได้รับผลกระทบทางอ้อมจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ้าง จากปัจจุบันที่การพัฒนาโครงการใหม่ชะลอตัวลงอย่างมาก เพราะในกลุ่มคนที่ต้องตกงานและกำลังผ่อนบ้านอยู่ย่อมมีปัญหาแน่ รวมถึงคนที่กำลังคิดซื้อบ้านก็อาจลังเลเนื่องจากไม่มั่นใจในสถานการณ์เศรษฐกิจ ทำให้บริษัทพัฒนาที่ดินไม่กล้าลงทุนเปิดโครงการใหม่
|
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 16-07-2550
|
|
|
|
|