Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
แผน 3 ปี "กะรัต ฟอเซท" ขึ้นท็อปทรีตลาด "ก๊อกน้ำ" |
|
ช่วงเศรษฐกิจดี การทำตลาดเชิงรุกในสมรภูมิการแข่งขันที่มีรายใหญ่กุมส่วนแบ่งเค้กอยู่หลายรายว่ายากแล้ว ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัว การเมืองกำลังคุกรุ่น ยิ่งลำบากกว่าหลายเท่าตัว
แต่ "กะรัต ฟอเซท" ผู้ผลิตก๊อกน้ำและอุปกรณ์ห้องน้ำที่เคยอยู่ภายใต้ร่มเงาของกลุ่มปูนกลาง หรือบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) กลับฮึดสู้กับสิ่งที่เรียกได้ว่าท้าทายเป็นอย่างยิ่ง
เพราะหลังจากที่ต้องเพลาการทำตลาดมาหลายปี ในช่วงที่มีการผลัดเปลี่ยนใบ โดยกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ที่มี "อัครพงศ์ นิธยานนท์" อดีตลูกหม้อปูนกลาง ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน "กะรัต ฟอเซท" กว่า 30% เป็นแกนนำ ซื้อหุ้นบริษัททั้งหมดจากปูนซีเมนต์นครหลวง ที่ต้องการขายทิ้งธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก ภายหลังจากที่กลุ่มโฮลซิมเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในปูนซีเมนต์นครหลวง
ประมาณกลางปี 2548 กลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่กลุ่มนี้จึงได้รวมตัวกันเข้าซื้อหุ้น "กะรัต ฟอเซท" ทั้งหมดจากปูนซีเมนต์นครหลาง จากนั้นใช้เวลาหลายเดือนในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารจัดการภายในองค์กร จัดทำแผนงานด้านต่างๆ ก่อนจะเปิดฉากรุกอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง หลังจากก่อนหน้านี้ทำได้แค่ประคองไม่ให้แบรนด์ก๊อกน้ำ และอุปกรณ์ห้องน้ำ "กะรัต ฟอเซท" หายไปจากความทรงจำของลูกค้า
"อัครพงศ์" บอกว่า สาเหตุที่พันธมิตรที่รวมตัวกันจากหลายธุรกิจตัดสินใจซื้อหุ้นทั้งหมด เป็นเพราะมองว่าก๊อกน้ำ "กะรัต ฟอเซท" ยังไปได้ดีและมีอนาคต แถมมีโรงงานบนเนื้อที่ 13 ไร่ในจังหวัดสระบุรี กำลังการผลิต 400 ตัน/ปี และทีมงานที่ค่อนข้างจะมีความพร้อมและมีความชำนาญทั้งในส่วนของการดีไซน์รูปแบบผลิตภัณฑ์ การผลิต การทำการตลาด
การเปิดเกมรุกครั้งใหม่ในตลาดก๊อกน้ำแม้จะเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่อาศัยแบรนด์ "กะรัต ฟอเซท" มีความแข็งแกร่งและเป็นที่รู้จักของผู้บริโภคระดับหนึ่งแล้ว จึงไม่
เหนือบ่ากว่าแรงจนเกินไป ที่สำคัญได้พันธมิตรทางธุรกิจอย่างปูนซีเมนต์นครหลวง การฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ จึงทำได้ไม่ยาก
ปัจจุบัน "กะรัต ฟอเซท" มีก๊อกน้ำและอุปกรณ์ห้องน้ำ อาทิ ฟลัชวาล์ว กระจก บานกั้นห้องอาบน้ำ ฯลฯ ที่มีความหลากหลายทั้งในแง่ของรูปลักษณ์การดีไซน์ สีสัน และการใช้ประโยชน์ ภายใต้ 3 แบรนด์หลักๆ ประกอบด้วย แบรนด์ "กะรัต ฟอเซท" ที่ทำตลาดมาตั้งแต่ปี 2530 เป็นผลิตภัณฑ์ที่เน้นคุณภาพ มีความเรียบหรูเป็นเอกลักษณ์ เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายระดับกลาง ราคาประมาณ 1,000-5,000 บาท และถือเป็นผลิตภัณฑ์หลัก สัดส่วนรายได้คิดเป็นยอดขายประมาณ 40% ของทั้งหมด
แบรนด์ "วิเซนทิน" ก๊อกน้ำนำเข้าจากอิตาลี รูปแบบเป็นก๊อกน้ำที่เน้นความโดดเด่นในเรื่องของรูปลักษณ์และการดีไซน์ รวมทั้งประโยชน์ในการใช้งาน ระดับราคาตั้งแต่ 5,000 บาท ไปจนถึงหลายแสนบาท เจาะลูกค้าระดับไฮเอนด์โดยเฉพาะ สัดส่วนรายได้ประมาณ 10% ของทั้งหมด
สำหรับตลาดแมสจะมีแบรนด์ "Globo" เป็นหัวหอก สัดส่วนรายได้จากยอดขายประมาณ 50% ของทั้งหมด โดยทั้ง 3 แบรนด์ขายผ่านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศกว่า 400 แห่ง และร้านโมเดิร์นเทรด 90% ที่เหลืออีก 10% ส่งออกต่างประเทศ โดยตลาดหลักๆ คือประเทศเพื่อนบ้าน
"อัครพงศ์" บอกว่า จากการทำตลาดในเชิงรุกในช่วงปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ปรากฏว่าทั้ง 3 แบรนด์ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี สามารถทำยอดขายในปี 2549 ถึง 307 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปี 2548 ที่มียอดขาย 245 ล้านบาท ถึง 20% สำหรับปีนี้ตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโตขึ้นอีก 20% เช่นเดียวกัน แม้เศรษฐกิจโดยรวมทั้งธุรกิจอสังหาฯจะชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าสามารถทำได้ตามเป้า เพราะ 3 เดือนแรกปีนี้ยอดขายเติบ โตขึ้นถึง 30%
เนื่องจากภายใน 3 ปีนี้ "กะรัต ฟอเซท" จะขอติดอันดับท็อปทรีในตลาดก๊อกน้ำ ทวงคืนตำแหน่งที่เคยครองมาในอดีต โดยจะเดินเกมการตลาดเพื่อตอกย้ำการรับรู้ในแบรนด์หลักทั้ง 3 แบรนด์อย่างเต็มสูบ ขณะเดียวกันก็มีแผนจะเข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์รองอีกด้วย
อย่างงานสถาปนิกสยาม 2007 ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมนี้ ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี "กะรัต ฟอเซท" และ "วิเซนทิน" ลงทุนจองบูทเนื้อที่มากถึง 103 ตร.ม. มากกว่าปีที่ผ่านมาเกือบเท่าตัว เพื่อนำผลิตภัณฑ์เด่นๆ หลากหลายแบบไปโชว์
อาทิ คอลเล็กชั่นใหม่ของ "กะรัต ฟอเซท" ได้แก่ Bamboo คอนเซ็ปต์การดีไซน์จากธรรมชาติของไม้ไผ่ Oval รูปทรงคลาสสิกด้วยลีลานุ่มนวลวงรี คล้ายก้อนหินมนกลม สื่อถึงพลังสร้างสรรค์ความสมดุลที่สอดคล้องกับธรรมชาติ และ Angle ดีไซน์รูปทรงกราฟิกแบบมุมตัดเรขาคณิต ที่เปรียบเสมือนความแข็งแกร่ง
ขณะที่แบรนด์ "วิเซนทิน" จะโชว์ก๊อกน้ำเรืองแสง และก๊อกน้ำ black cristal ประดับด้วยคริสตัลดำ มูลค่ากว่า 1.5 ล้านบาท ซึ่งโดดเด่น ด้วยดีไซน์ คุณภาพ และฟังก์ชันการใช้งานที่ได้มาตรฐานโลก
นอกจากนี้ยังจับมือกับ 4 บริษัทพันธมิตรยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมการผลิตก๊อกน้ำและอุปกรณ์ประกอบห้องน้ำ คือ นีโอเพิร์ล จากเยอรมนี มารูว่า จากญี่ปุ่น ฟลุช และวิเซนทิน จากอิตาลี เพื่อลดต้นทุนการผลิต นำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ รวมทั้งเพิ่มช่องทางการจำหน่าย
|
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 26-04-2550
|
|
|
|
|