Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
เอ็มดีคนใหม่ BECL พเยาว์ มะริตตนะพร "เศรษฐกิจไม่ดี ไม่มีผลต่อรายได้ทางด่วน" |
|
สัมภาษณ์
ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานานกว่า 14 ปี ในบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีอีซีแอล ทำให้ "พเยาว์ มะริตตนะพร" ได้รับความไว้วางใจให้นั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการคนใหม่ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2550 ที่ผ่านมา ถือเป็นเอ็มดีหญิงคนแรกที่เข้ามาบริหารงานในบริษัททางด่วนแห่งนี้
แม้จะเปิดใจให้สัมภาษณ์กับสื่อเป็นครั้งแรก แต่ด้วยความที่ได้เรียนรู้งานต่างๆ มานาน ทุกถ้อยคำที่ "พเยาว์" ถ่ายทอดออกมาจึงน่าสนใจ และทำให้เห็นทิศทางและแผนการดำเนินงานของบีอีซีแอลได้เป็นอย่างดี
- แผนการลงทุนของบริษัท
ส่วนใหญ่เป็นเรื่องต่อเนื่องมากกว่า ที่จะทำปีนี้ มีสร้างสะพานลอยตรงด่านงามวงศ์วาน คล้ายกับตรงด่านประชาชื่น ขณะนี้กำลังออกแบบและคำนวณค่าก่อสร้าง เป็นการเพิ่มการให้บริการแก่ผู้ใช้ทางด่วนให้สะดวกมากขึ้น เพราะปัจจุบันบริเวณนั้นมีการปิดที่กลับรถทำให้คนขึ้นทางด่วนยากขึ้น
ในส่วนของการลงทุนทางด่วนเอง ตอนนี้ไม่มีโปรเจ็กต์ใหม่ จะมีลงทุนเฉพาะบริษัทย่อย 4 บริษัท ซึ่งทุกบริษัทที่เราไปลงทุนเป็นระบบสัมปทานทั้งหมด คือ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด (NECL) รับสัมปทานระบบทางด่วนบางปะอิน-ปากเกร็ด 30 ปี ถือหุ้น 53% บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีเอ็มซีแอล รับสัมปทานเดินระบบรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางซื่อ 25 ปี ถือหุ้น 11.93% บริษัท น้ำประปาไทย จำกัด (มหาชน) รับสัมปทานผลิตและจำหน่ายน้ำประปา 30 ปี ถือหุ้น 12.50% และบริษัท เซาท์อีสท์ เอเซีย เอนเนอร์จี จำกัด รับสัมปทานผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า 25 ปี ถือหุ้น 12.50%
- บริษัทไหนที่ทำรายได้ดีที่สุด
บริษัทน้ำประปาไทยมีรายได้หลายร้อยล้านบาท ส่วนบีเอ็มซีแอลปี 2549 ขาดทุนอยู่ 1,699 ล้านบาท ลดลงจากปี 2548 ที่ขาดทุน 1,700 ล้านบาท แต่เรามีความเชื่อมั่นว่าบีเอ็มซีแอลจะเหมือนกับบีอีซีแอล จะดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผู้ใช้รถไฟฟ้าเข้าใจว่าให้ประโยชน์ยังไง ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้มากขึ้นด้วย ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 7 ปีขึ้นไป เพราะปริมาณผู้โดยสารยังต่ำจากที่ประมาณการไว้ 2 แสนคน ตอนนี้ได้อยู่ประมาณ 1.5-1.6 แสนคนต่อวัน บริษัทเซาท์อีสท์ฯอยู่ระหว่างก่อสร้าง ยังไม่มีผลประกอบการ จะเริ่มจ่ายไฟฟ้าได้ปี 2554 ส่วน NECL ขาดทุนสะสมอยู่ 4,000 กว่าล้านบาท
- บริษัท NECL ที่ขาดทุนมากจะทำยังไง
สิ่งที่อยากได้มากตอนนี้คือ การควบรวมทั้งบริษัทบีอีซีแอลและ NECL เข้าด้วยกัน เพราะบริษัทแม่กำไร อยากเสียภาษีในอัตราที่จำเป็น ส่งเรื่องไปยังการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และเห็นชอบแล้ว ส่งเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่เปลี่ยนรัฐบาลเสียก่อน เรื่องตีกลับมาที่ กทพ.ใหม่ ตอนนี้เราก็ทำเรื่องให้ กทพ.ดำเนินการต่อไปแล้ว ถ้าไม่มีความคืบหน้าหรือการควบรวมไม่สำเร็จ กทพ.จะต้องซื้อโครงการคืนตามราคาบัญชี 11,000 ล้านบาท
- แนวโน้มปริมาณการจราจรบนทางด่วนปีนี้
ปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4% มากกว่าปีที่แล้วที่เพิ่มขึ้น 3% จาก 8.9 แสนคันต่อวัน เป็น 9.3 แสนคันต่อวัน ที่เพิ่มขึ้นเพราะเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งทำให้ปริมาณรถเพิ่มขึ้นถึง 41,000 คันต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 40%
- เปิดใช้ดอนเมืองอีกครั้งมีผลกระทบไหม
มีบ้างแต่น้อยมาก (เน้นเสียง) ปริมาณรถลดลงจากเดิมที่เคยได้อยู่วันละ 3,000 คันเอง
- แสดงว่าภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีขณะนี้ไม่มีผล
ใช่ เพราะเราเป็นระบบสาธารณูปโภค เศรษฐกิจไม่ดีไม่ได้รับผลกระทบในเชิงรายได้เหมือนธุรกิจอื่นๆ และที่ผ่านมาเราเพิ่มบริการให้ผู้ใช้ทาง เพิ่มตู้เก็บเงิน ช่องทางเชื่อมให้ใช้ทางสะดวกขึ้น ทำให้ผู้ใช้ทางไม่ลดลง ปี 2549 เรามีรายได้รวม 6,844 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,543 ล้านบาท เทียบกับปี 2548 มีรายได้รวม 6,533 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,488 ล้านบาท ผลประกอบการเพิ่มขึ้น 55 ล้านบาท ปี 2549 เราจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น 1 บาท เป็นเงินรวม 770 ล้านบาท มาจากรายได้ค่าผ่านทางที่เพิ่มขึ้น คนใช้ทางด่วนเพิ่มอย่างต่อเนื่อง และการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ มีผู้ใช้ทางด่วนเพิ่มขึ้นตลอดทั้งวัน
- ด้านความเสี่ยงของบริษัท
มีหลายอย่าง เช่น ความเสี่ยงจากกรณีรายได้ไม่เพียงพอต่อภาระรายจ่าย เพราะรายได้ค่าผ่านทางเป็นรายได้หลักของบริษัท เราอาจจะได้รับผลกระทบบ้างหากมีการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยภายนอกที่มีผลค่าผ่านทางและปริมาณการจราจร ทำให้รายได้ไม่เป็นไปตามแผนที่คาดการณ์ไว้ ทำให้เกิดปัญหาต่อภาระรายจ่ายของบริษัท เช่น ดอกเบี้ยจ่าย เงินกู้ เป็นต้น
นอกจากนี้มีความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจภายใต้สัญญากับหน่วยงานของภาครัฐ ที่อาจมีการตีความข้อความและเงื่อนไขในสัญญาที่แตกต่างกัน อย่างกรณีการปรับขึ้นค่าผ่านทาง เป็นต้น
ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลง บริษัทมีเงินกู้ยืมระยะยาวอยู่ 28,383 ล้านบาท ปี 2552 จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากคงที่เป็นลอยตัว MLR-2% ต่อปี หากดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงไป 1% จะกระทบกับค่าใช้จ่ายของบริษัทประมาณ 280 ล้านบาท และช่วงนี้อัตราดอกเบี้ยลดลง เป็นจังหวะที่ดีจะขอเจรจากับเจ้าหนี้สถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ มีธนาคารกรุงไทย กรุงเทพ ไทยพาณิชย์ และทหารไทย ให้อัตราดอกเบี้ยคงที่ ความเสี่ยงจากการลงทุนในบริษัท NECL ความเสี่ยงจากการลงทุนในบริษัทย่อยต่างๆ
- ความคืบหน้าระบบจัดเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ
อยู่ระหว่างคุยกับ กทพ.ยังไม่ได้ข้อสรุป เพราะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลังจากเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ทำให้เรื่องถูกตีกลับมาที่ กทพ. และได้มีการทบทวนวิธีการใหม่ จากเดิมเสนอเป็นระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติตามระยะทาง แต่เห็นว่าโครงการเร่งรีบ เพราะจะทำให้คนใช้ทางสะดวกขึ้น เลยปรับใหม่แบ่งเป็น 2 เฟส คือ เฟสแรกเปลี่ยนเป็นแค่ระบบอัตโนมัติเท่านั้น ทั้งทางด่วนขั้นที่ 1 และ 2 เราลงทุนเฉพาะที่เป็นของเรา คาดว่าใช้เงินลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท ส่วน กทพ.ก็ลงทุนเฉพาะส่วนที่เป็นของ กทพ. ส่วนการเก็บค่าผ่านทางตามระยะทาง จะดำเนินการต่อไปเป็นเฟสต่อไป
- เปลี่ยนระบบแล้ว รายได้บริษัทจะเพิ่มมากแค่ไหน
เพิ่มรายได้บ้าง แต่ไม่ใช่สาระสำคัญ เป็นการสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ใช้บริการทางด่วนมากกว่า เพราะการติดระบบเก็บค่าผ่านทางเป็นอัตโนมัติ 1 ตู้ เหมือนกับเราเพิ่มตู้เก็บเงินถึง 2 ตู้ จะได้ประโยชน์จากตรงนี้มากกว่า เพราะตอนนี้บนทางด่วนโดยเฉพาะชั่วโมงเร่งด่วนรถติดมากบริเวณหน้าด่าน ถ้าได้ข้อสรุปภายในปีนี้ก็ลงทุนก่อสร้างเลยและเปิดให้บริการได้ในปีหน้า
- ปีหน้าจะมีการปรับค่าผ่านทางใหม่
ใช่ จะถึงกำหนดปรับราคาเดือนกันยายน ปี 2551 กำลังทำรายละเอียดอยู่ ซึ่งจะต้องรอดูการเปลี่ยนแปลงดัชนีผู้บริโภคว่าเป็นยังไง ตอนนี้ยังไม่สรุปว่าจะปรับเพิ่มขึ้นอีกกี่บาท แต่เป็นไปตามสัญญาที่ต้องมีการปรับขึ้นทุก 5 ปี เราจะเริ่มคุยกับ กทพ.ประมาณสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2551 โดยจะส่งรายละเอียดไปตามที่เราเข้าใจ จากนั้นทาง กทพ.จะพิจารณาว่าให้ได้เท่าไรตามที่เราขอไป หรือจะใช้เวลา 6 เดือนในการพิจารณา
- จะมีปัญหาเหมือนทุกครั้งมั้ย
ไม่สามารถคาดเดาได้ เพราะยังเร็วไปที่จะให้ความเห็น แต่เราทำตามสัญญามาโดยตลอด
|
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 12-04-2550
|
|
|
|
|