Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
ชี้พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ยังฮอตข้ามปี ทุนต่างชาติปิ๊งหัวเมืองท่องเที่ยว-กทม. |
|
โจนส์ แลง ลาซาลล์ ฟันธงลงทุนพร็อพ เพอร์ตี้ฟันด์ยังฮอตข้ามปี แม้สถานการณ์ทางการเมืองไม่เป็นใจ เผยปี"49 ทุนต่างชาติดอดเทกโอเวอร์โครงการอสังหาฯในกรุงเทพฯ เมืองท่องเที่ยวทั้งภูเก็ต พัทยา กระบี่เป็นว่าเล่น ชี้ออฟฟิศบิลดิ้งสุดโดดเด่น ผลตอบแทนสูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาคนี้
นายล่องลม บุนนาค ประธานกรรมการบริหาร โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปี 2549 ที่ผ่านมาตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยมีการลงทุนซื้อขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ในปริมาณมาก โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร (กทม.) และเมืองท่องเที่ยวหลักๆ อาทิ ภูเก็ต พัทยา กระบี่ โดยอาคารสำนักงานใน กทม.เป็นอสังหาฯกลุ่มหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากผู้ซื้อมากที่สุด เห็นได้จากมีนักลงทุนประเภทสถาบัน กองทุน และกองทุนรวมอสังหาฯ เข้าซื้ออาคารสำนักงานโครงการสำคัญๆ มากถึง 10 อาคาร
"สำหรับปีนี้การลงทุนซื้อขายโครงการอสังหาฯในไทยคงชะลอตัวลงจากปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง และนโยบายภาครัฐ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการลงทุนซื้อขายโครงการอสังหาฯจะยังมีให้เห็น เนื่องจากตลาดอสังหาฯของไทยยังคงให้ผลตอบแทนการลงทุนสูงกว่าหลายๆ ประเทศในภูมิภาคเดียวกัน" นายล่องลมกล่าว
นายกาย ฮอลลิส ผู้อำนวยการระหว่างประเทศฝ่ายบริหารตลาดทุนของโจนส์ แลง ลาซาลล์ กล่าวว่า ขณะนี้ทั่วโลกยังมีเงินทุนจำนวนมากที่กำลังหาโอกาสเข้าซื้อโครงการอสังหาฯเพื่อการลงทุน หลังจากปีที่ผ่านมาการลงทุนซื้อขายโครงการอสังหาฯ เชิงธุรกิจทั่วโลกคึกคักตลอดทั้งปี เป็นผลมาจากการมีโครงการอสังหาฯที่เหมาะสำหรับการลงทุนปล่อยขายออกมามากขึ้น โดยมีการลงทุนซื้อขายข้ามประเทศและข้ามทวีป
มูลค่าการลงทุนซื้อขายโครงการอสังหาฯที่เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา มาจากการซื้อขายเพิ่มขึ้นโดยกองทุนต่างๆ ซึ่งขณะนี้มีมูลค่าการซื้อคิดเป็น 17% ของยอดการซื้อขายที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั่วโลก ทั้งนี้ปีที่ผ่านมากองทุนต่างๆ ทั่วโลกเข้าซื้ออสังหาฯคิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 83,000 ล้านดอลลาร์ หลักๆ เพิ่มขึ้น 240% ในเยอรมนี สหรัฐ สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น และปล่อยขายออกมาคิดเป็นมูลค่ารวม 39,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 32%
"ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการซื้อขายโครงการอสังหาฯเพิ่มขึ้น ได้แก่ การที่องค์กรบริษัทต่างๆ ที่ไม่ได้ประกอบธุรกิจพัฒนาโครงการปล่อยขายสินทรัพย์ประเภทอสังหาฯออกมามากขึ้น โดยปีที่ผ่านมามียอดขายทั่วโลกรวมสูงกว่า 55,000 ล้านดอล ลาร์ ส่วนใหญ่ขายสินทรัพย์โดยบริษัทในญี่ปุ่นรวมมูลค่า 14,000 ล้านดอลลาร์ เยอรมนี 12,000 ล้านดอลลาร์ นอกนั้นมีสหรัฐ สหราชอาณาจักร สิงคโปร์ ฟินแลนด์ และฝรั่งเศส ในขณะที่มีองค์กรบริษัทสหรัฐไม่ถึง 25% ที่ถือครองอสังหาฯ
ตลาดอสังหาฯในประเทศที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วมีกิจกรรมการซื้อขายโครงการอสังหาฯสูงเช่นกัน โดยในปีที่ผ่านมามีมูลค่ารวมกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์ สูงขึ้น 74% จากปี 2548 โดยตลาดบางประเทศเพิ่งเป็นที่สนใจของนักลงทุน แต่มีการขยายตัวการลงทุนอย่างรวดเร็ว ได้แก่ รัสเซีย จีน ตุรกี เม็กซิโก บราซิล โดยเฉพาะตลาดรัสเซียมีการซื้อขายโครงการอสังหาฯ มากขึ้นกว่า 700%
ในส่วนของเอเชีย-แปซิฟิกปีที่ผ่านมามีกิจกรรมการซื้อขายโครงการอสังหาฯข้ามประเทศคิดเป็น 32% ของมูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้นทั้งหมดในภูมิภาค สูงขึ้น 29% จากปี 2548 และเป็นการซื้อขายกับภูมิภาคอื่น 22% เพิ่มขึ้น 18% โดยการซื้อขายส่วนใหญ่เกิดขึ้นในตลาดที่กำลังฟื้นตัวของญี่ปุ่น คือ 55% หรือ 52,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 128% จากปี 2548
"สภาพการลงทุนที่คึกคักในญี่ปุ่นเป็นผลมาจากการที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นซึ่งมีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับสองของโลกผ่านพ้นภาวะความซบเซาและกำลังเติบโต ซึ่งแม้จะเชื่องช้าแต่มีความต่อเนื่อง นอกจากนี้ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดในโลก ซึ่งช่วยกระตุ้นให้มีการลงทุนมากขึ้น การแย่งกันซื้อโครงการอสังหาฯในตลาดญี่ปุ่นจึงมีความเข้มข้น ส่วนใหญ่เป็นการซื้อโดยนักลงทุนญี่ปุ่นเอง ส่วนการซื้อโดยนักลงทุนจากต่างประเทศมีสัดส่วนแค่ 20%" นายฮอลลิสกล่าว
สำหรับปี 2550 ความสนใจของนักลงทุนที่มีต่อตลาดอสังหาฯเอเชีย-แปซิฟิกจะยังคงมีอยู่สูงตลอดปี โดยเฉพาะญี่ปุ่นซึ่งมีโครงการอสังหาฯเสนอขายคิดเป็นมูลค่าเกือบกึ่งหนึ่งของโครงการอสังหาฯที่เสนอขายในภูมิภาคนี้ และยังคงให้ผลตอบแทนการลงทุนที่น่าสนใจ แต่จะมีการแข่งขันด้านราคาเพิ่มสูงขึ้นด้วย นักลงทุนจึงควรใช้กลยุทธ์การเพิ่มมูลค่าหลังการซื้อ หรืออาจเลือกพิจารณาการลงทุนในตลาดชั้นรองๆ ลงไปที่มีการแข่งขันต่ำกว่า
|
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 15-03-2550
|
|
|
|
|