Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
ปูนใหญ่-ปูนอินทรี วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจ "ปีหมูไม่หมู" |
|
วันใหม่ของปี 2550 เดินทางมาครบหนึ่งเดือนเต็ม ดูเหมือนว่า "เศรษฐกิจภาพรวม" ของไทยในปีนี้กำลังเจอบททดสอบที่หนักอึ้งอีกครั้ง
เมื่อมรสุมการเมืองซัดกระหน่ำ ทำให้นักธุรกิจทั้งรายใหญ่รายเล็กเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง
แต่ในวิกฤตย่อมมี "โอกาส" โดยเฉพาะสัญญาณจากปัจจัยราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มลดลง
หลายคนจึงเชื่อว่า โดยรวมเศรษฐกิจปีนี้ชะลอตัวแน่ แต่จะชะลอถึงเมื่อไร นานแค่ไหน นั่นคือคำถาม
ล่าสุด "กานต์ ตระกูลฮุน" กรรมการผู้จัดการใหญ่ เครือซิเมนต์ไทย (SCG) และ "จันทนา สุขุมานนท์" รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ปูนซีเมนต์นครหลวง ได้ออกโรงพร้อมๆ กันเป็นครั้งแรก และวิเคราะห์ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจปีหมูไว้อย่างน่าสนใจ
ในฐานะผู้ประกอบการต้นน้ำของธุรกิจกลุ่มวัสดุก่อสร้างอันดับต้นๆ ของเมืองไทย
ประเดิมที่ภาพรวมเศรษฐกิจในสายตาของ "กานต์" ประเมินว่า ในปี 2550 อัตรา GDP น่าจะเติบโตขึ้นประมาณ 4-5%
แต่ขณะเดียวกัน "ราคาน้ำมัน" ยังเป็นปัจจัยที่คาดเดาได้ลำบาก หลังจากกลับมาปรับตัวขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และถ้าขยับขึ้นไปเกินกว่า 56 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก็คงต้องเจ็บตัวอีกแน่นอน
ส่วนในเชิงของธุรกิจซีเมนต์ในปีนี้แนวโน้มน่าจะทรงตัว ความต้องการใช้ไม่น่าจะเพิ่มขึ้นยกเว้นกรณีเดียว คือ "เมกะโปรเจ็กต์" ที่เป็นความหวังของวงการรับเหมาก่อสร้างเกิดขึ้นได้เร็ว ก็มีโอกาสที่ตลาดซีเมนต์โดยรวมจะขยายตัว 2-3%
บิ๊กเครือซิเมนต์ฯให้เหตุผลว่า เหตุการณ์น้ำท่วมในช่วงไตรมาสที่ 3 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้ช่วยหนุนให้มีความต้องการใช้ปูนเพิ่มขึ้นจากการซ่อมแซมบ้านอย่างที่หลายคนคาดการณ์ ตลาดปูนซีเมนต์ในช่วงเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมายังทรงตัวจากปกติที่จะต้องเป็นช่วงพีกของการขาย เช่นเดียวกับตลาดวัสดุก่อสร้างก็ชะลอตัวเช่นกัน
"ปี"50 เครือหวังเติบโตขึ้น 5% หลักๆ ยังเป็นธุรกิจปิโตรเคมีที่เป็นตัวช่วยดันรายได้ อย่างในปี 2549 ที่ผ่านมาปัจจัยที่ทำให้ผลการดำเนินงานของเครือเติบโตขึ้น 18% จากที่ตั้งไว้ 10% เนื่องจากราคาปิโตรเคมีในตลาดโลกปรับตัวดีขึ้น"
เมื่อดูผลการดำเนินในปี 2549 ที่ผ่านมา SCG ยังต้องต้องเผชิญกับแรงกดดันจากต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น โดยมียอดขายรวม 258,175 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% แต่มีกำไรสุทธิ 29,451 ล้านบาท ลดลง 9% เนื่องจากความต้องการปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างในประเทศชะลอตัวลงจากปีก่อน
เมื่อแยกรายได้ตามธุรกิจ ถือว่ากลุ่ม "เคมีภัณฑ์" มียอดขายโดดเด่นที่สุด คือ 122,645 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% ธุรกิจ "กระดาษ" มียอดขาย 42,645 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% และธุรกิจ "ซีเมนต์" มียอดขาย 44,123 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6%
ขณะที่ผลการดำเนินงานเฉพาะไตรมาสที่ 4 ปี 2549 มียอดขายรวม 62,593 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% แต่มีกำไรสุทธิ 4,675 ล้านบาท ลดลง 8% เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ลดลงของทุกกลุ่มธุรกิจยกเว้นธุรกิจเคมีภัณฑ์ โดยมีมติจ่ายปันผลงวดสุดท้าย 7.50 บาท
ถ้ามองในเชิงการลงทุนในปี 2550 กลับเป็นปีที่เครือซิเมนต์ไทยทุ่มงบฯลงทุนถึง 30,000 ล้านบาท จากปีก่อนใช้งบฯ 22,000 ล้านบาท ได้แก่ ธุรกิจปิโตรเคมี กระดาษ และจัดจำหน่าย
นางสาวจันทนา สุขุมานนท์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ บริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง มองว่า ที่ผ่านมาภาพรวมเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุน จากการที่ภาครัฐออกมาตรการกันเงินสำรอง และการแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจต่างด้าว ทำให้ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีนักลงทุนต่างชาติบางส่วนชะลอการลงทุนออกไป
"ปีนี้ถ้าดูจากสถานการณ์ทางการเมือง เราคงต้องทำใจ อย่างไรก็ตาม สำหรับปูนอินทรีจะไม่หยุดนิ่ง จะใช้เวลาช่วงนี้หันมาปรับปรุงประสิทธิภาพองค์กร และพัฒนาเรื่องการลดต้นทุนให้ดียิ่งขึ้น เพราะเชื่อว่าอย่างน้อยโครงการเมกะโปรเจ็กต์รถไฟฟ้า 5 สายทาง น่าจะเกิดขึ้นภายในสมัยรัฐบาลชุดนี้"
ดังนั้นอยากให้มองสถานการณ์เศรษฐกิจในเชิงบวกว่ามีขึ้นก็มีลงได้
ประเมินว่าทิศทางเศรษฐกิจปีนี้มีโอกาสที่อัตราจีดีพีจะเติบโตขึ้นประมาณ 4.5% ใกล้เคียงกับปี 2549 ที่ผ่านมา ในมุมมองของบริษัทถือว่าเป็นตัวเลขที่พอรับได้ แม้ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเวียดนาม ซึ่งเศรษฐกิจอยู่ในช่วงร้อนแรง คาดว่าปีที่ผ่านมาเวียดนามมีอัตราจีดีพีเติบโตขึ้นประมาณ 9%
นางสาวจันทนากล่าวว่า ด้านสถานการณ์ตลาดปูนซีเมนต์ คาดว่าปีนี้โดยรวมจะทรงตัว คือมีความต้องการใช้ในประเทศประมาณ 26 ล้านตัน ดีขึ้นกว่าปีก่อนเล็กน้อย เนื่องจากปีก่อนตลาดหดตัวลง 2% จากปี 2548 การคาดการณ์นี้ประเมินภายใต้สมมติฐานว่าโครงการเมกะโปรเจ็กต์เกิดขึ้น แต่หากรัฐบาลสามารถผลักดันให้เปิดประมูลได้เร็ว ก็เป็นไปได้ที่ตลาดปูนซีเมนต์จะเติบโตขึ้นได้อีก
สำหรับบริษัทวางเป้ายอดขายใกล้เคียงกับปีก่อน คือ ประมาณ 12 ล้านตัน และวางแผนที่จะใช้งบฯโฆษณาประชาสัมพันธ์จัดกิจกรรมการตลาด ทั้งที่เกี่ยวข้องกับการขาย และกิจกรรมกับเอเย่นต์เพิ่มมากขึ้น ยืนยันว่าไม่มีการปรับลดงบประมาณลง
"สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งทำ คือ เรื่องความเชื่อมั่น โดยจะต้องดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กลับมาโดยเร็วที่สุด เพราะโดยรวมพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งอยู่แล้ว สุดท้ายเม็ดเงินการลงทุนจากต่างประเทศก็จะเริ่มไหลกลับเข้ามา"
|
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 29-01-2550
|
|
|
|
|