|
Link
to us!!!
|
| ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
|
| คลองส่งน้ำสุวรรณภูมิ ทำเลทองแห่งใหม่เชื่อม "สุขุมวิท-บางนา" |
|
ข้ามปีหมูทอง ในปี 2551 บริเวณ โดยรอบโครงการระบายน้ำสนามบินสุวรรณภูมิของกรมชลประทาน ตั้งอยู่ในเขต อ.บางพลีและ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ จะพลิกหน้าดินจากบ่อปลาที่ถูกปล่อยว่างเปล่า ไปจนถึงที่ดินตาบอด กลับกลายเป็นทำเลทองแห่งใหม่ที่น่าจับตามองอีกทำเลหนึ่ง
โครงการนี้กรมชลประทานมีนโยบายเป้าหมายให้เป็นคลองระบายน้ำสายหลัก สำหรับใช้แก้ปัญหาการระบายน้ำและการจัดการน้ำหลากในพื้นที่โดยรอบสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อโครงการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์จะสามารถเร่งระบายน้ำจากคลองสำโรงไปยังชายทะเล และสูบน้ำระบายออกสู่ทะเลโดยตรง ขีดความสามารถลำเลียงน้ำออกนอกพื้นที่ได้วันละ 8.64 ล้านลูกบาศ์กเมตร นั่นหมายถึงในอนาคตจะสามารถลดสภาวะน้ำท่วมและความเสียหายจากอุทกภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เป้าหมายรองยังเป็นโครงการที่ใช้ประโยชน์เพื่อการติดตามสภาพน้ำหลาก การทำงานของเครื่องสูบน้ำในการบริหารจัดการน้ำหลากทั้งระบบลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างฝั่งตะวันออกตอนล่าง และเพื่อใช้เป็นแหล่งเก็บกักน้ำ ส่งเสริมและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรในจังหวัดสมุทรปราการ
ตลอดระยะทาง 12 กิโลเมตรของโครงการ กรมชลประทานออกแบบสันคลองเป็นถนนเลียบคลอง คล้ายกับคลองรังสิต แต่มีขนาดใหญ่กว่าขนาด 4 ช่องจราจร เป็นทางลัดเชื่อมโยงการจราจรจากถนนสุขุมวิท-เทพารักษ์ ช่วงกิโลเมตรที่ 47 ไปจนถึงถนนบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 19 เพื่อช่วยลดปัญหาการจราจรของจังหวัดสมุทรปราการและบริเวณใกล้เคียงได้ เพราะเปิดการจราจรเพื่อบรรเทาปัญหารถติดบริเวณแยกเทพารักษ์อีกทางหนึ่ง
"คลองนี้จะเป็นการเปิดการพัฒนาทำเลแห่งใหม่ให้กับนักลงทุน เพราะเมื่อโครงการแล้วเสร็จ ที่ดินตลอด 2 ข้างทางจะทวีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่าตัวโดยอัตโนมัติ จากเดิมสภาพที่ดินบริเวณนี้เป็นบ่อปลา ที่ว่างเปล่าและที่ดินตาบอดค่อนข้างมาก ตกราคาไร่ละ 7-8 แสนบาทเท่านั้น" ว่าที่ร้อยตรีไพเจน มากสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักงานก่อสร้าง 9 กรมชลประทาน กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ"
ผอ.จากกรมชลให้ข้อมูลความคืบหน้าโครงการด้วยว่า ระยะเวลาดำเนินการก่อสร้างมาประมาณ 8 เดือน งานก่อสร้างคืบหน้าแค่ 5% มีความล่าช้าจากแผน 14% เนื่องจากกรมชลประทานส่งมอบพื้นที่ให้กับผู้รับเหมาไม่ได้ ติดขัดกับอุปสรรคแบบเดิมๆ ว่าด้วยเรื่องการเวนคืนที่ดิน เนื่องจาก เป็นโครงการเร่งด่วน หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างก็มีการเปิดประมูลทันที ทำให้โครงการนี้เป็นการก่อสร้างแบบ "เวนคืนไปก่อสร้างไป" ไม่เหมือนโครงการอื่นๆ ที่จะต้องมีการเวนคืนที่ดินให้แล้วเสร็จก่อน
ปัญหาขยักที่สองคือเรื่องของ "งบประมาณ" กล่าวคือ ปี 2549 กรมชลประทานได้รับจัดสรรจากรัฐบาลไม่เพียงพอสำหรับการจ่ายค่าชดเชย ให้กับชาวบ้านที่ถูกเวนคืน เพิ่งจะจ่ายค่าชดเชยประมาณ 45% คิดเป็นวงเงิน 1,219 ล้านบาท จากงบประมาณค่าเวนคืนทั้งโครงการจำนวน 234 แปลง วงเงินรวม 2,600 ล้านบาท เท่ากับ ยังเหลืออีก 55%
"เดือนมกราคม 2550 จะมีการทยอยจ่ายเงินค่าเวนคืนในส่วนที่เหลือทั้งหมด เพื่อเร่งส่งมอบพื้นที่ให้กับผู้รับเหมาเร่งดำเนินการก่อสร้างต่อไป เพราะเป้าหมายใหญ่คือจะต้องก่อสร้างเสร็จให้ทันกำหนดคือภายในเดือนพฤษภาคม 2551"
สำหรับงบประมาณรวมของโครงการ (ค่าก่อสร้างและเวนคืนที่ดิน) วงเงินทั้งสิ้น 8,409 ล้านบาท โดยงานก่อสร้างแบ่งออกเป็น 3 สัญญา คือสัญญาที่ 1 ก่อสร้างคลองระบายน้ำและถนน พร้อมอาคาร ระยะทาง 5 กิโลเมตร วงเงิน 1,449 ล้านบาท บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง
สัญญาที่ 2 งานก่อสร้างคลองระบายน้ำ และถนน ระยะทาง 5 กิโลเมตร วงเงิน 1,376 ล้านบาท บริษัท กรุงธน เอนยิเนียริ่ง จำกัด เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง 3.งานคลองระบายน้ำ สถานีสูบน้ำ สะพานยกระดับและอาคารระบายน้ำ ระยะทาง 2.65 กิโลเมตร วงเงิน 2,870 ล้านบาท กิจการร่วมค้าเอส.แอล จำกัด เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง
งานนี้คงต้องลุ้นกันตัวโก่งว่า ระยะเวลาที่เหลืออยู่อีกเพียงปีเศษๆ กับ "เนื้องาน" ก่อสร้างที่ยังเหลือ 95% กรมชลประทานจะผลักดันคลองส่งน้ำสายนี้ไปถึงจุดเป้าหมายได้หรือไม่
|
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 28-12-2549
|
|
|
|
|
