Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
จรวดลูกที่สองของ "แสนสิริ" เพิ่มทุนหมื่นล้าน เกมนี้ไม่ธรรมดา ! |
|
ถ้าไม่มั่นใจเกินร้อย "เศรษฐา ทวีสิน" กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) คงไม่กล้าประกาศอย่างอหังการว่า "อีก 3 ปีนับจากนี้ แสนสิริจะขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งในวงการอสังหาริมทรัพย์เมืองไทย"
นัยสำคัญของความเป็น "เบอร์หนึ่ง" แน่นอนว่า บิ๊กแสนสิริต้องการเบียดแชมป์ตลอดกาล "แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์" ของ "อนันต์ อัศวโภคิน"
เขาถึงกับโหมโฆษณาประชาสัมพันธ์ถี่ยิบในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จนนักธุรกิจและสื่อมวลชนในวงการอสังหาฯชักเอะใจว่า "แสนสิริ" ต้องการอะไรกันแน่ แล้ว "เป้าหมาย" ที่แท้จริงคืออะไร
นอกเหนือจากการเป็น "ข่าวรายวัน" ทั้งๆ ที่ข่าวบางข่าวก็ไม่มีประเด็นอะไรน่าสนใจ
แต่สิ่งหนึ่งที่เป็น positioning หรือวางตำแหน่งตัวเองค่อนข้างชัดเจน คือ การมุ่งเจาะตลาดคนรุ่นใหม่และเน้นความทันสมัย อย่างอื่นเป็นเรื่องรองลงไป
ปรากฏว่าสถานการณ์เป็นใจ เมื่อผู้บริโภครุ่นใหม่ๆ ยอมเทใจมาอุดหนุนซื้อบ้านจัดสรรค่ายนี้เพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ
ไม่นาน "เศรษฐา" ก็แสดงความฮึกเหิม นัดเปิดแถลงข่าวเรื่อง "ผลประกอบการ" ไตรมาสที่ 2-3 ของปี 2549 ด้วยอารมณ์
ชื่นมื่น ซึ่งเปรียบเสมือนการปล่อยจรวดลูกแรกถล่มคู่แข่งเป้าหมาย
ผลพวงจากยอดขายบ้านและคอนโดฯของแสนสิริและพลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ บริษัทในเครือ ที่สะสมความสำเร็จจนตัวเลขโตก้าวกระโดด "เศรษฐา" เลยปรับเป้ายอดขายทั้งปีเพิ่มเป็น 2 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้แค่ 1.4 หมื่นล้านบาท
เพราะแค่ครึ่งปีแรกกลุ่มแสนสิริสามารถกวาดยอดขายตุนไว้ในกระเป๋าถึง 1.2 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะคอนโดฯแบรนด์ "คอนโดวัน" และ "คอนโดวันเอ็กซ์" ได้รับการตอบรับจากลูกค้ามาก จนทำให้ยอดขายรวมของ "แสนสิริ" จี้ติดพี่ใหญ่ค่ายแลนด์ฯชนิดหายใจรดต้นคอ
เมื่อจรวดลูกแรกเข้าเป้าอย่างจัง สามารถปั๊มรายได้เกินกว่าที่คาดหมายไว้ จากเดิมที่เคยถูกเบอร์หนึ่งทิ้งห่างหลายช่วงตัว ค่าย "แสนสิริ" ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือ
เริ่มเดินหน้าแผนสองต่อด้วยการปล่อยจรวดลูกที่สอง "สกัดจุดอ่อน" ตัวเอง ที่ก่อนหน้านี้เป็นบอนไซทำให้องค์กรตกอยู่ในฐานะลำบาก ทั้งในแง่การลงทุน การระดมทุนจากนักลงทุนไทยและต่างชาติ
การค่อยๆ สลัดภาพที่หลายคนมองว่าถูกครอบงำโดยบริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด (มหาชน) ที่ยังมีเงาของ "ทศพงศ์ จารุทวี" และ "สว่าง มั่นคงเจริญ" อยู่เบื้องหลัง ทำให้แสนสิริยังติดภาพมัวๆ
เนื่องจาก "เอ็นพาร์ค" ในฐานะโฮลดิ้งคอมปะนี ถือหุ้นอยู่ใน "แสนสิริ" มากถึง 24% ซึ่งเป็นอีกหมากหนึ่งของการสร้างฝันให้เป็นจริง ก่อนไต่บันไดดาวสู่แป้นเบอร์หนึ่ง
เพราะเมื่อเกมเปลี่ยน ก็ต้องปรับเปลี่ยนจิ๊กซอว์ใหม่ ทั้งที่เดิมเครือข่ายธุรกิจ "เอ็นพาร์ค" ร่วมกับพันธมิตร คือ "แปซิฟิค แอสเซ็ทส์" "แสนสิริ" "บีเอ็มซีแอล" ผู้รับสัมปทานเดินรถไฟฟ้าใต้ดิน วาดแผนจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดอสังหาฯ ด้วยการบุกธุรกิจแบบครบวงจรทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ โดยกำหนดบทบาทแต่ละองค์กรชัดเจนเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมาย
แต่เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน และ "เอ็นพาร์ค" ที่ถูกกำหนดให้ทำหน้าที่โฮลดิ้งคอมปะนี ถูกมรสุมรุมล้อมลูกแล้วลูกเล่า มิหนำซ้ำแผน ดึงพันธมิตรเข้ามาเสริมฐานทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มซิตี้ เรียลตี้ ของตระกูล "โสภณพนิช" หรือพันธมิตรต่างชาติก็ล่มลงกลางคัน ขณะที่ยัง มีภาระหนี้ก้อนโตต้องสะสาง ทำให้ "เอ็นพาร์ค" พยายามดิ้นทุกวิถีทางเพื่อให้มีรายได้นำไปใช้หนี้
เห็นได้จากการตัดขายหุ้นที่ถืออยู่ใน "แปซิฟิค แอสเซ็ทส์" ให้กับกลุ่มเลแมนบราเดอรส์ ตัดขายโรงแรมและที่ดินบนเกาะสมุย และล่าสุดกรณี "แสนสิริ" ซื้อหุ้นบริษัทบางส่วนคืนมาจาก "เอ็นพาร์ค" จึงน่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ "วิน-วิน" ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย คือ จะทำให้ "แสนสิริ" มีความคล่องตัวมากขึ้นในการระดมทุนจากภาพลักษณ์และความแข็งแกร่งที่มีเพิ่มขึ้น ส่วน "เอ็นพาร์ค" ก็จะได้เงินก้อนไปเคลียร์หนี้บางส่วน โดยที่ยังถือหุ้นอยู่ใน "แสนสิริ" อีก 12% จากเดิม 24.9%
"เศรษฐา" กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ครั้งที่ 10/2549 เมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา ได้มติอนุมัติแผนเพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 6,628,246,421.68 บาท เป็น 19,238,471,822.56 บาท หรือเพิ่มทุนอีก 12,610,225,400.88 บาท โดยจะออกหุ้นสามัญใหม่ 2,946,314,346 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 4.28 บาท และได้อนุมัติออกใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญ (warrant) ไม่เกิน 1,473,314,346 หน่วย ให้กับผู้ถือหุ้นทุกรายในอัตราส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ
"การเพิ่มทุนครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต และมีเงินทุนเพียงพอที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ และลดสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) ลงจากปัจจุบัน 1.37 เหลือ 0.88 ซึ่งคาดว่าจะสามารถดึงดูดนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเข้ามาลงทุนได้มากขึ้น"
การออกและเสนอขายหุ้นสามัญใหม่ให้แก่บุคคลในวงจำกัด (private placement) ครั้งนี้ แสนสิริสนใจและแสดงเจตนาที่จะซื้อหุ้นสามัญใหม่ 24.91% ของหุ้นที่จำหน่ายได้ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เหลือจากการเสนอขาย 734,092,284 หุ้น จากปัจจุบันถือหุ้นอยู่เพียง 8,025,618 หุ้น หรือ 0.54%
งานนี้แม้ "เศรษฐา" ต้องใช้เงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนเบ็ดเสร็จถึง 2,000-3,000 ล้านบาท จากเงินส่วนตัวและเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน แต่ก็น่าจะคุ้มค่าหากทำให้ภาพลักษณ์ "แสนสิริ" ดีขึ้นแบบดับเบิล ถูกใจนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
เพราะนั่นหมายถึงว่า หุ้น SIRI ในตลาดหลักทรัพย์ฯจะฉิวไปด้วย
แต่ค่ายแสนสิริก็ต้องคอยตอบคำถามกับนักลงทุนและนักวิเคราะห์ว่า ทำไม และเหตุใด จึงมี "กำไรน้อยมาก" เมื่อเทียบกับสัดส่วนรายได้ขนาดหมื่นล้านบาท
เส้นทางเดินของกลุ่มผู้ถือหุ้นใน "แสนสิริ" จึงดูไม่ธรรมดาเลย !!!
|
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 11-12-2549
|
|
|
|
|