Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
การุญ จันทรางศุ นายก ว.ส.ท. ไขคำตอบ "งาน" ก่อสร้างยังขาดมาตรฐาน ? |
|
เคยนั่งเก้าอี้รองผู้ว่าราชการกรุงเทพ มหานคร (กทม.) รับผิดชอบดูแลงานด้านโยธาฯ ยุคผู้ว่าฯ "กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา" บวกกับบทบาทความเป็นนักวิชาการ ทั้งยังมีประสบการณ์ทำงานในฐานะวิศวกรที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน ทำให้ "การุญ จันทรางศุ" หรือ "ด็อกเตอร์เค" ได้รับความไว้วางใจในการโหวตจากคนในแวดวงวิศวกรให้นั่งในตำแหน่งนายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (ว.ส.ท.) มาได้พักหนึ่งแล้ว
ล่าสุด "ประชาชาติธุรกิจ" มีโอกาสสัมภาษณ์ถึงนโนบายภายหลังจากเข้ามารับตำแหน่งนายก ว.ส.ท.
รวมถึงความเห็นมุมมองเกี่ยวกับปัญหาบ้านที่ได้รับความเสียหายจากโครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียมในเมือง และการใช้ประโยชน์ที่ดินในย่านสนามบินสุวรรณภูมิ
- นโยบายและสิ่งที่คิดจะทำหลังจากรับตำแหน่ง
จริงๆ หน้าที่หลักของ ว.ส.ท.ก็คือผลิต "มาตรฐานด้านงานวิศวกรรม" เพื่อเป็นแหล่งอ้างอิงหรือคู่มือในการประกอบวิชาชีพของวิศวกร เพราะวิชาชีพวิศวกรบางสาขาเป็นเรื่องของการควบคุมต้องได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเหมือนแพทย์
การมีมาตรฐานอ้างอิงเท่ากับเป็นเครื่องมือในการประกอบวิชาชีพโดยไม่ประมาท อย่างไรก็ดีการจัดฝึกอบรมทักษะ ถือเป็นพันธะกรณี เปนหน้าที่ของ ว.ส.ท.ที่ต้องทำต่อเนื่องเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
- อะไรบ้างที่ถือเป็นเรื่องเร่งด่วน
เนื้องานของ ว.ส.ท. มีเรื่องเร่งด่วนเกี่ยวกับงานก่อสร้างยังขาดมาตรฐานอีกมาก โดยเฉพาะการใช้อุปกรณ์ก่อสร้าง เช่น มาตรฐานการ พาวเวอร์เครน นอกจากนี้ก็มีเรื่องอื่นๆ อาทิ มาตรฐานยานยนต์ ก๊าซไวไฟ เป็นต้น ทุกเรื่องจะดำเนินการไปพร้อมกัน เพราะ ว.ส.ท.มีวิศวกรจากหลายสาขาวิชาชีพเข้ามาช่วย ก็จะดูว่ายังขาดมาตรฐานตัวไหนบ้าง
ส่วนที่เริ่มไปแล้วก็มี อาทิ มาตรฐานลิฟต์ มาตรฐานการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า สำหรับมาตรฐานลิฟต์ก็จะมุ่งไปที่มาตรฐานการผลิต การติดตั้ง และการตรวจสอบ ซึ่งการตรวจสอบจะเกี่ยวข้องกับกฎกระทรวงการตรวจสอบอาคาร ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดฝึกอบรมเพื่อสร้างวิศวกรที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบอาคารที่มีอำนาจเซ็นรับรอง
- อบรมไปได้กี่รุ่น
เฉพาะ ว.ส.ท.ทำไปแล้ว 2 รุ่น แต่ก็ยังมีสถาบันหรือหน่วยงานอื่นๆ สำหรับเราตั้งเป้าว่าปีแรกจะทำให้ได้ 10 รุ่น รุ่นละ 60 คน รวมประมาณ 600 คน และภายใน 2-3 ปีต้องให้ได้ 2,000 คน โดยประมาณการว่ามีอาคารที่เข้าข่ายต้องตรวจสอบ 20,000-30,000 แห่งทั่วประเทศ ในจำนวนนี้ประมาณ 50% เป็นอาคารที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ
- ที่น่าจะผ่านมีสักกี่เปอร์เซ็นต์
มันไม่ใช่เรื่อง "ผ่าน" หรือ "ไม่ผ่าน" เปรียบเทียบก็เหมือนการตรวจสุขภาพ ถ้าไม่สมบูรณ์ก็ต้องดูว่าจะรักษาอย่างไร เช่น บันไดหนีไฟอาจมีขนาดเล็กเกินไป ก็ต้องปรับปรุงขยับขยายให้ได้มาตรฐานมากขึ้น
สำหรับอาคารที่ก่อสร้างนับจากปี 2535 เข้าใจว่าค่อนข้างมีมาตรฐานใกล้เคียงต่างประเทศ เพราะหลังจากปี 2535 มีกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทรัพย์สิน และความปลอดภัยออกมามาก ส่วนกลุ่มที่สร้างก่อนปี 2535 มีเพียงแค่การควบคุมเรื่องความมั่นคงแข็งแรง แต่เรื่องความปลอดภัยยังไม่ค่อยชัดเจน
- อาคารที่สร้างก่อนปี 2535 จะทำอย่างไร
ถ้ามีการตรวจสอบ วิศวกรต้องระบุว่ายังขาดอุปกรณ์อะไรบ้าง และถ้าต้องแก้ไขหรือดัดแปลงอาคาร ทางกรมโยธาธิการฯควรเปิดโอกาสให้สามารถขออนุญาตดัดแปลงอาคารได้ง่ายขึ้น เรื่องระยะเวลาที่กำหนดให้เจ้าของอาคารทุกแห่งที่เข้าข่ายต้องส่งแบบรายงานตรวจสอบอาคารไม่เกิน 30 ธันวาคม 2550 นั้น ถ้าจำเป็นอาจต้องอะลุ้มอล่วยหรือยืดหยุ่น
- มีประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ที่น่าจะไม่ถูกต้อง
เป็นเรื่องที่ค่อนข้างเซ็นซิทีฟ ถ้าดูกันจริงๆ ผมว่าเกือบทุกอาคารมีจุดที่ผิด ยกตัวอย่างบางอาคารก็ใช้ทางเดินหนีไฟเป็นที่เก็บของ
- ค่าตรวจสอบกำหนดมาตรฐานกลางหรือยัง
ยังไม่ได้กำหนด แต่เป็นสิ่งที่จะต้องเร่งทำให้เสร็จก่อนครบกำหนดส่งแบบรายงาน
เบื้องต้น ทาง ว.ส.ท.อาจจะหารือกับสมาคมวิชาชีพที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย อาทิ สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมไฟฟ้าและแสงสว่าง สมาคมผู้ตรวจสอบและบริหารความปลอดภัยอาคาร ฯลฯ ทำราคากลางขึ้นมาและเสนอให้กรมโยธาธิการและผังเมืองพิจารณา
แนวคิดเบื้องต้นมี 2 ส่วน คือ 1)คำนวณจากขนาดพื้นที่ใช้สอย และ 2)คำนวณจากความซับซ้อนของอาคาร
- ปัญหาก่อสร้างคอนโดฯส่งผลกระทบให้บ้านร้าว
สิ่งที่ ว.ส.ท.ช่วยได้คงเป็นเรื่องมาตรฐานในการก่อสร้าง เพราะโดยหลักคงต้องเป็นหน้าที่ของภาครัฐ จริงๆ การแก้ปัญหาต้องเริ่มตั้งแต่การวางผังเมือง เช่น ถ้าย่านนี้มีแต่บ้านพักอาศัย 2-3 ชั้น ต่อไปก็ต้องห้ามก่อสร้างอาคารสูง
ปัจจุบันผังเมืองควบคุมแค่การใช้ประโยชน์ที่ดิน แต่ไม่ควบคุมถึงประเภทหรือรูปแบบอาคาร ทำให้มีตึกสูงอยู่ติดกับบ้าน
- ระหว่างนี้จะผลักดันอะไรได้บ้าง
อย่างที่บอกว่าการแก้ปัญหาต้องเริ่มตั้งแต่การวางผัง ตามหลักระบบสาธารณูปโภคจะเป็นตัวชี้นำการพัฒนา หมายความว่าการสร้างรถไฟฟ้าไปยังพื้นที่ที่มีชุมชนหนาแน่นแล้วอย่าไป แต่รถไฟฟ้าต้องล้ำหน้าไปก่อนเพื่อให้กำหนดรูปแบบการพัฒนาในอนาคตได้
- ปัญหาเรื่องผู้รับเหมาต่างชาติเข้ามาแย่งงาน
ประเทศไทยก็ยังเป็นเค้กของเขา ญี่ปุ่นได้เปรียบเรื่องเงินทุน ถ้าเป็นโครงการอาคารขนาดใหญ่ยังต้องอาศัยเทคโนโลยีจากญี่ปุ่น ส่วนงานระบบมักจะเป็นประเทศจากยุโรปได้งาน ไม่เฉพาะรถไฟฟ้า แต่รวมถึงโรงไฟฟ้า อาจจะเห็นว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นคนก่อสร้าง แต่จริงๆ ก็ซื้อระบบจากยุโรป ส่วนประเทศไทยก็เป็นได้แค่ซับคอนแทร็กเตอร์ ประเทศจีนก็พยายามจะเข้ามา ส่วนเกาหลีมีกลุ่ม "ซัมซุง" เคยเข้ามาแต่ออกไปแล้ว ประเทศจีนเก่งเรื่องการเลียนแบบ เวลาเสนองานเสนอเป็น "โทเทิลโซลูชั่น" คือเบ็ดเสร็จทั้งงานก่อสร้างและงานระบบ แต่ในอนาคตเรื่องการพัฒนาคงไม่สามารถสู้กับคนที่คิดค้นเทคโนโลยีเองขึ้นมาแต่แรก
|
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 30-11-2549
|
|
|
|
|