|
Link
to us!!!
|
| ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
|
| บิ๊ก KK มองธุรกิจอสังหาฯ ข่าวดีเริ่มกลับมา... |
|
ในฐานะสเปเชียลิสต์ ที่เน้นให้บริการสินเชื่อเพื่อโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั้งขนาดกลางและขนาดเล็ก
"ธวัชไชย สุทธิกิจพิศาล" กรรมการผู้จัด การใหญ่ แห่ง ธนาคารเกียรตินาคิน (KK) ได้สะท้อนมุมมองภาพรวมของธุรกิจนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า
แม้สถานการณ์ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในหมวดโครงการที่อยู่อาศัยในไตรมาสที่ 3 ของ ปี 2549 ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น
แต่ "ข่าวดี" ก็เริ่มปรากฏให้เห็นกันบ้างแล้ว
โดยเฉพาะความหวังของผู้ประกอบการที่เคยฝากไว้กับโค้งสุดท้ายในไตรมาสที่ 4 ซึ่งเริ่มต้นไตรมาสด้วยงานมหกรรมบ้านและคอนโดที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ช่วงปลายเดือนกันยายน ซึ่งจัดเร็วขึ้นประมาณ 2 เดือนกว่าปกติที่ผ่านมา
ปรากฏว่าผู้ประกอบการจำนวนมากที่เข้าร่วมงานต่างประสบความสำเร็จมากที่สุดอีกช่วงหนึ่ง
ทั้งในแง่ของจำนวนผู้เข้าชมและจำนวนหน่วยที่จองและขายได้ในงาน น่าจะเป็นดัชนีสะท้อนอุปสงค์ หรือ demand ของผู้บริโภคได้ดีในระดับหนึ่ง
อีกทั้งผู้ประกอบการต่างเทใจนำสินค้าที่สร้างเสร็จระบายออกมาขายให้ผู้บริโภคในราคาที่จูงใจ
จนกลายเป็น "สีสัน" ของงานและทำให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่น เมื่อได้ของดีราคาสมเหตุสมผลมากขึ้น รวมถึง bargain hunter อีกด้วย
เพราะก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการต่างคาดการณ์ยอดขายที่ลดลงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้
ยิ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่างพยายามอย่างหนักที่จะรักษาสัดส่วนการตลาดของตนเอาไว้ มีผลทำให้ค่าการตลาด เช่น ส่วนลด ของแถม โปรโมชั่น เพิ่มขึ้น กดดันให้อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อยอดขายปรับลดลงเรื่อยๆ
โดยคาดว่าค่าเฉลี่ยทั้งปีของบริษัทในตลาดจะอยู่ที่ประมาณอัตราร้อยละ 10-12 เท่านั้น
ซึ่งไม่น่าจะต่างกันมากนัก เมื่อเทียบกับบริษัทนอกตลาดทั่วไป
บิ๊กเกียรตินาคินวิเคราะห์อีกว่า
จากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่เริ่มลดลงในเดือนกันยายนจนถึงยอดส่งออกในเดือนกรกฎาคมมีปริมาณกว่า 11,600 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือนเป็นครั้งแรก (ทำให้การขาดดุลการค้าคงเหลือเพียง 223 ล้านเหรียญ) และอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงคงเหลือเพียงร้อยละ 4.4
ส่งผลให้ "แรงกดดันต่ออัตราดอกเบี้ย" คลายตัวลง โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เริ่มส่งสัญญาณแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทรงตัวกันแล้ว ซึ่งน่าจะส่งผลบวกต่อความมั่นใจของผู้บริโภค
สำหรับในด้านลบ นอกเหนือจากความไม่แน่นอนด้านการเมืองแล้ว ยังมีความเสี่ยงด้านผลกระทบต่อ GDP จากกรณีการ ใช้จ่ายภาครัฐบาลปี 2550 ยังไม่สามารถกำหนดทิศทางที่ชัดเจนได้เนื่องจากไม่มี สภา ทำให้ไม่สามารถตั้งงบประมาณได้ ซึ่งมีผลกระทบต่อการลงทุนของภาคเอกชนด้วย
ขณะที่ด้านสถาบันการเงินได้ชะลอการ ให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการพัฒนาโครงการ ที่อยู่อาศัยมาโดยตลอดหลายไตรมาสที่ ผ่านมา
โดยจะเห็นได้จากมูลค่าสินเชื่อผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยคงค้างทั่วประเทศ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2547 อยู่ที่ 190,759 ล้านบาท เปรียบเทียบกับ ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2549 อยู่ที่ 192,157 ล้านบาท หรือเติบโตเพียง 0.7% ใน 6 ไตรมาส จากปริมาณสินเชื่อที่คงที่ คาดว่าน่าจะส่งผลให้อุปทานหรือ supply เข้าสู่ตลาดได้น้อยลง
เขาคาดว่า สภาวการณ์ในอีก 6-12 เดือนข้างหน้า ผู้ประกอบการควรคำนึงถึงการแข่งขันในด้าน "ราคา" ในตลาดที่รุนแรงขึ้น
รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องเพิ่มมากขึ้น จากการดูแลรักษาโครงการตลอดระยะเวลาการขายที่นานขึ้น และการรักษาปริมาณบ้านสร้างเสร็จในโครงการให้เหมาะสมกับอัตราการขาย
ฉะนั้น การคัดเลือกผู้ซื้อเบื้องต้นก่อนทำสัญญาเพื่อหลีกเลี่ยงการกู้ไม่ผ่านนั้น ถือเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะบ้านที่สร้างเสร็จก่อนขายควรกระทำอย่างยิ่ง
เพราะสุดท้ายแล้วความสำเร็จของ การขายและการซื้อจะเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้พนักงานขายเกิดความมุ่งมั่น ไม่ย่อท้อต่องานบริการแก่ลูกค้าหรือลูกบ้านนั่นเอง
|
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 19-10-2549
|
|
|
|
|
